Islamic : เบื้องหลัง "อิสลาม" อันถูก...บิดเบือน ถูกใส่ร้าย
ก่อนที่อิสลามจะถูกสื่อตะวันตกวาดภาพให้ชาวโลกเข้าใจว่าเป็นลัทธิก่อการร้าย คนทั่วไปมักเข้าใจอย่างผิวเผินว่าเป็นศาสนาที่อนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้สี่คน
พอได้ยินเรื่องนี้ หลายคนดีใจอยากเป็นมุสลิม แต่บางคนบอกสี่คนน้อยไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังบอกว่าศาสนาตัวเองไม่จำกัดการมีเมียเสียด้วย
ไม่ว่าจะพูดจริงหรือพูดเล่น คำพูดเป็นสิ่งที่บอกถึงความไม่เข้าใจในศาสนาของเพื่อน
ความจริงแล้ว ก่อนหน้าอิสลาม บางลัทธิความเชื่อถือว่าการมีเมียเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดกิเลส จึงดำรงตนเป็นโสดและถือสันโดษตลอดชีวิต ในขณะที่บางสังคมหรือบางวัฒนธรรม ผู้ชายสามารถมีเมียได้โดยไม่จำกัดจำนวน
อิสลามต่างหากที่จำกัดการมีภรรยาไว้ไม่เกินสี่คนโดยมีเงื่อนไขว่าสามีต้องให้ความเป็นธรรมแก่ภรรยาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าคิด.....แค่คิดนะครับว่าไม่สามารถทำได้ ก็ให้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น
แม้มีคำสั่งห้ามมีภรรยาเกินกว่าสี่คนในคัมภีร์กุรอาน แต่หลายคนศึกษาประวัตินบีมุฮัมมัดแล้วมีคำถามว่าทำไมนบีมุฮัมมัดจึงมีภรรยาเกินกว่าสี่คน
ผมขอทำความเข้าใจและตอบคำถามผู้สงสัยดังนี้ครับว่ากรณีของนบีมุฮัมมัดเป็นกรณีที่พระเจ้าอนุมัติให้เป็นการเฉพาะเพื่อให้นบีมุฮัมมัดปฏิบัติภารกิจที่พระองค์มอบให้บรรลุความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น นั่นคือการนำพระบัญชาของพระเจ้ามาสถาปนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาติให้เสร็จภายในเวลา 23 ปีและต้องให้ศาสนาของพระองค์อยู่ต่อไปอย่างยาวนาน
นบีมุฮัมมัดแต่งงานครั้งแรกเมื่ออายุ 25 ปีในฐานะคนธรรมดาที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้า ภรรยาของท่านเป็นแม่หม้ายชื่อเคาะดีญะฮฺอายุ 40 ปี หลังแต่งงาน ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 6 คนเป็นชาย 2 หญิง 4 แต่ลูกชายของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก
ในขณะเป็นหนุ่ม ท่านอาจจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่นที่สาวกว่า สวยกว่าภรรยาของท่านอีกกี่คนก็ได้ เพราะสังคมอาหรับถือเป็นเรื่องปรกติ แต่ท่านยังคงมีภรรยาคนเดียว จนกระทั่งภรรยาของท่านจากไปเมื่ออายุ 65 ปีในขณะที่ท่านต้องแบกภาระการเผยแผ่อิสลาม ความจำเป็นที่จะต้องมีคนมาช่วยเลี้ยงดูลูกสาวจึงเกิดขึ้น ท่านจึงแต่งงานกับแม่หม้ายอีกคนหนึ่งที่มีอายุมากกว่าท่านเพื่อคอยดูแลลูกสาวสี่คน
ขณะที่อยู่ในมักก๊ะฮฺ เพื่อนสนิทของท่านได้นำลูกสาวอายุราวสิบขวบชื่ออาอิชะฮฺมาเสนอให้แต่งงานกับท่านเพื่อเป็นการผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การแต่งงานเกิดขึ้นในสภาพสังคมที่ผู้คนกำลังต่อต้านท่าน
อาอิชะฮฺเป็นหญิงแรกรุ่นคนเดียวที่ท่านแต่งงานด้วย ถึงแม้จะแต่งงานกันแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งนบีมุฮัมมัดอพยพไปยังมะดีนะฮฺได้สักพัก นบีมุฮัมมัดจึงส่งคนมารับเธอไปอยู่ด้วย ในตอนนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดอายุประมาณ 55 ปีแล้ว
หลังจากนั้น มีสถานการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ท่านต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกหลายคนด้วยเหตุผลบางประการ เช่น ท่านแต่งงานกับลูกสาวของหัวหน้าเผ่าที่พ่ายแพ้ท่านในการรบ การแต่งงานครั้งนี้ทำให้ลูกสาวของหัวหน้าเผ่าเปลี่ยนสถานะจากเชลยมาเป็นภรรยาของผู้นำมุสลิม ทำให้นักรบมุสลิมที่ได้เชลยเป็นส่วนแบ่งในการทำสงครามปล่อยพ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนในเผ่าของเธอให้เป็นอิสระเพราะถือว่าเชลยเหล่านั้นเป็นญาติของนบีแล้ว ผลที่ตามมาก็คือ เชลยเหล่านั้นได้หันมารับนับถืออิสลาม
ผู้หญิงบางคนเป็นแม่หม้ายขาดผู้อุปการะดูแลเพราะสามีของนางพลีชีพในสนามรบ ท่านจึงขอแต่งงานด้วยเพื่ออุปการะดูแลและให้ความคุ้มครอง ผู้หญิงบางคนท่านแต่งงานด้วยเพื่อยกเลิกประเพณีโบราณของชาวอาหรับที่ถือว่าภรรยาของลูกบุญธรรมเป็นเหมือนลูกแท้ๆที่พ่อบุญธรรมไม่สามารถแต่งงานได้
สำหรับอาอิชะฮฺ ด้วยความเป็นหญิงสาว เธอจดจำสิ่งที่นบีมุฮัมมัดสั่งสอนและปฏิบัติกับเธอในชีวิตครอบครัวไว้มากมาย ดังนั้น หลังจากนบีมุฮัมมัดจากโลกนี้ไปแล้ว อาอิชะฮฺยังมีชีวิตยืนยาวอีกหลายสิบปีซึ่งทำให้เธอได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอิสลามสำหรับมุสลิมอีกยาวนาน
คุณอาจกำลังสนใจสิ่งนี้
- เปิดโลก การเงินอิสลาม เรียนรู้เรื่องธุรกรรมอิสลาม ระบบดอกเบี้ย ระบบเงินกู้
- โปแลนด์ออกกฎหมายห้ามกล่าวถึง“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”ชาวยิว
- ผู้นำศาสนานราธิวาส ชี้“ชูศาสนา” เดินหน้านำคุณธรรมและจริยธรรม กลับสู่สังคม
- ทัศนะของอิสลามต่อ“อินเตอร์เน็ต” จากผู้รู้ สู่โลกออนไลน์
- อิสลามกับคำสอนเรื่องการ “ฆ่าคน”
ขอบคุณ : บรรจง บินกาซัน
#ศรัทธา #อัลลอฮฺ #ดุอาอฺ #อัลกุรอาน #อัลกุรอานคือเข็มทิศชีวิต #ฮาลาลไทยแลนด์
Tags: