
Rainbow Diet พลังของอาหารสายรุ้งช่วยสุขภาพดี แค่กินให้ครบสี
Rainbow Diet พลังของอาหารสายรุ้งช่วยสุขภาพดี แค่กินให้ครบสี
อาหารเพื่อสุขภาพบนโลกใบนี้มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน และเชื่อไหมว่าอาหารบางอย่างที่เราเห็นจนคุ้นตา ดูเป็นเพียงผัก-ผลไม้ธรรมดา แต่เมื่อถูกนำมาอยู่ในจานเดียวกัน อาจอัปเกรดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ให้วิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดได้ ซึ่งก็เป็นที่มาของการกินแบบ Rainbow Diet
Rainbow Diet หรือ อาหารสายรุ้ง คือ การกินอาหารที่เน้นผักและผลไม้หลากสี เช่น สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีม่วง ตามสีรุ้ง เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและหลากหลาย เพราะแต่ละสีของผักและผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคต่าง ๆ
วิธีกิน Rainbow Diet สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเน้นกินผัก-ผลไม้ให้หลากสีสัน และพยายามเติมอาหารหลากสีในทุกมื้ออาหาร หรือพยายามกินเป็นของว่างให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อย ๆ 2-3 วันต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลดและหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารโซเดียมสูง อาหารไขมันสูง และอาหารที่มีน้ำตาลสูงใด ๆ ที่สำคัญอย่าลืมกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการที่ดี เพื่อส่งเสริมสุขภาพดีให้เต็มสูบ
อาหารสายรุ้ง จะมีอยู่หลัก ๆ 5 สีสัน ดังนี้
1. สีขาวและสีน้ำตาล
เช่น กะหล่ำดอก หอมใหญ่ กระเทียม เห็ด เป็นกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์และอัลลิซิน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ ช่วยต้านการเกิดเนื้อร้าย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
2. สีเขียว
เช่น ผักใบเขียว บรอกโคลี อะโวคาโด กีวี แตงกวา ผัก-ผลไม้สีนี้เป็นสีที่ให้สารคลอโรฟิลล์สูง มีสรรพคุณช่วยล้างสารพิษ ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงระบบย่อยอาหาร ดีต่อสุขภาพกระดูกและสุขภาพดวงตา รวมถึงช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
3. สีส้มและสีเหลือง
ผัก-ผลไม้กลุ่มนี้จะมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงดวงตาและการมองเห็น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีส่วนช่วยบำรุงข้อต่อต่าง ๆ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ โดยหาได้จากแครอต ฟักทอง ส้ม มะม่วง มันเทศ กล้วย สับปะรด เป็นต้น
4. สีแดง
เช่น มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี แตงโม พริกแดง ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีสารไลโคปีนและแอนโทไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต บำรุงผิวพรรณ ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยบำรุงหัวใจ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด
5. สีม่วงและสีน้ำเงิน
กลุ่มนี้จะมีแอนโทไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซ่อมแซมการทำงานของสมอง บำรุงความจำ บำรุงผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และลดความเสี่ยงอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สามารถรับประทานได้จากบลูเบอร์รี องุ่นม่วง มะเขือม่วง มันม่วง พลัม
อาหารในแต่ละกลุ่มสีก็จะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไป จึงทำให้เทรนด์กินอาหาร Rainbow Diet ดีต่อสุขภาพของเราไม่น้อยเลยทีเดียว
การกินอาหารสายรุ้ง เน้นความหลากหลายของสีสันในอาหาร จะให้ประโยชน์กับเราในแง่ใดบ้าง
1. ได้รับสารอาหารหลากหลาย
การกินอาหารที่มีสีสันต่าง ๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากหลายแหล่ง เช่น ได้วิตามินซีจากส้ม ได้ธาตุเหล็กจากผักใบเขียว ได้ไลโคปีนจากมะเขือเทศ หรือได้รับเบต้าแคโรทีนจากแครอต ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสุขภาพโดยรวม
2. เสริมสร้างระบบย่อยอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย
ผักและผลไม้มีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ขับถ่ายยาก อีกทั้งยังส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ด้วย
3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
สารอาหารและแร่ธาตุรวมไปถึงวิตามินชนิดต่าง ๆ ที่ร่างกายได้รับจากผัก-ผลไม้ 5 สี ต่างก็มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และโดยปกติผัก-ผลไม้จะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์จากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย
4. ดูแลสุขภาพสมอง
หนึ่งในปัจจัยที่ทำลายสมองของเราได้ก็คือสารอนุมูลอิสระ ดังนั้น การรับประทาน Rainbow Diet ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิดจึงถือเป็นการเซฟสุขภาพสมองได้อีกทาง เพราะสารต้านอนุมูลอิสระทั้งหลายจะช่วยลดความเสื่อมของเซลล์สมอง และลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ไปด้วย
5. ป้องกันโรคเรื้อรัง
การรับประทานผักและผลไม้สีต่าง ๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดความเสียหายของเซลล์ได้ ในขณะที่ไฟเบอร์ก็ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ส่วนวิตามินต่าง ๆ ก็ช่วยซ่อมแซมความเสื่อมของร่างกายในส่วนอื่น ๆ
6. บำรุงผิวพรรณ
สีของผักและผลไม้ยังบ่งบอกถึงสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิว เช่น สีส้มจากแครอตมีเบต้าแคโรทีน ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ส่วนสีแดงจากสตรอว์เบอร์รี ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ในขณะที่สีม่วงจากมันม่วงที่มีแอนโทไซยานิน ก็จะเด่นในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เป็นต้น
บทความที่น่าสนใจ
Tags: