เผยเอกสารลับชี้เหตุประหาร “มาตา ฮารี” สายลับสองหน้า จารชนรหัส“H21” เมื่อ 100 ปีก่อน
การตายของเธอยังคงเป็นปริศนาว่า ตัวตนของจารชนรหัส "H21" ซึ่งก็คือนักเต้นสาวผู้โด่งดังคนนี้ ถูกเปิดเผยขึ้นได้อย่างไร และใครคือผู้บงการให้เธอต้องจบชีวิตลงกันแน่ และที่สำคัญที่สุด มีนักประวัติศาสตร์หลายคนตั้งคำถามว่า เธอคือสายลับมือฉมังผู้อุทิศตนรับใช้เยอรมนี หรือแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จนถูกสถานการณ์ชักนำให้ต้องจำยอมทำหน้าที่ล้วงความลับของคู่สงครามทั้งสองฝ่ายกันแน่
เด็กหญิงมาร์คารีตา เจลเลอ ถือกำเนิดในครอบครัวชาวดัชต์ที่มีฐานะ แต่ต่อมาพ่อของเธอล้มละลายและแม่ก็ตายจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ชีวิตวัยเยาว์ของเธอต้องยากลำบาก เมื่ออายุได้ 18 ปี เธอลองเสี่ยงแต่งงานกับนายทหารชาวดัชต์ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ โดยต้องเดินทางข้ามโลกไปอยู่กินกับเขาที่เกาะชวาของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ในยุคนั้น
การประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า มาตา ฮารี ที่ชานกรุงปารีส
ชีวิตสมรสของมาร์คารีตาไม่ราบรื่นนัก สามีชอบใช้ความรุนแรงและยังนำโรคซิฟิลิสมาติดเธออีกด้วย หลังจากที่มีลูกกัน 2 คน เธอตัดสินใจแยกทางกับสามีและเดินทางไปกรุงปารีสคนเดียวในปี 1905 ที่กรุงปารีสนี้เองเธอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยการยึดอาชีพนักเต้นระบำแบบตะวันออก โดยตั้งชื่อให้ตัวเองใหม่ว่า "มาตา ฮารี" ซึ่งเป็นภาษามลายูที่หมายถึง "ดวงตาแห่งวัน" หรือแสงสว่างของดวงอาทิตย์นั่นเอง
ชีวิตนักเต้นที่กำลังไปได้สวยของมาตา ฮารี ต้องหักเหมาสู่เส้นทางมืดของจารชน เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น กองทัพเยอรมนีได้เข้ายึดทรัพย์สินของเธอที่อยู่ในเขตยึดครองของทหารเยอรมัน และต่อมาได้เข้าเกลี้ยกล่อมให้เธอเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อช่วยล้วงความลับจากบุคคลสำคัญฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเธอจำต้องยอมเป็นสายลับให้ทหารเยอรมันเพราะอยากได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดไปบางส่วนคืนมา
มาตา ฮารี ต้องกลายเป็นสายลับสองหน้า เมื่อทางการฝรั่งเศสได้ใช้ให้เธอสืบความลับจากบรรดาผู้นำระดับสูงของเยอรมนีด้วยเช่นกัน โดยใช้เรื่องโอกาสในการสร้างครอบครัวกับคนรักของเธอ เป็นข้อต่อรองให้เธอยอมทำตามคำสั่ง เธอต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจจารชนในหลายประเทศ แต่จุดจบก็มาถึงเมื่อเธอพยายามล้วงความลับจากทูตทหารเยอรมันชื่ออาร์โนลด์ ฟอน คัลเลอ ขณะอยู่ที่กรุงมาดริดของสเปน
ทูตทหารเยอรมันผู้นี้ได้ตลบหลังเธอ ด้วยการส่งโทรเลขไปยังกรุงเบอร์ลิน รายงานเกี่ยวกับ "สายลับ H21" ซึ่งก็คือตัวเธอโดยระบุข้อมูลชี้ตัวอย่างชัดแจ้ง แต่กลับส่งข้อความด้วยรหัสลับที่ผู้ส่งก็ทราบดีว่าทางการฝรั่งเศสในขณะนั้นได้ไขรหัสออกแล้ว ทำให้โทรเลขนั้นตกไปอยู่ในมือของหน่วยต้านจารกรรมฝรั่งเศส และนำไปสู่การจับกุมตัวมาตา ฮารี ในที่สุด
มีหลายทฤษฎีทางประวัติศาสตร์ที่อธิบายเหตุการณ์นี้ ซึ่งนอกจากข้อสันนิษฐานที่ว่าทางการเยอรมนีต้องการกำจัดเธอทิ้ง โดยใช้โทรเลขของอาร์โนลด์ ฟอน คัลเลอ ที่จงใจส่งแบบให้ฝรั่งเศสจับได้เป็นเครื่องมือแล้ว ยังมีข้อสันนิษฐานว่าการพบเพียงสำเนาโทรเลขดังกล่าวในแฟ้มเอกสารลับที่เปิดเผยในปีนี้ โดยไม่พบต้นฉบับรวมอยู่ด้วย อาจหมายถึงว่าฝ่ายฝรั่งเศสได้ปลอมโทรเลขนั้นขึ้นมาเอง เพื่อทำลายมาตา ฮารี
ผู้ศึกษาด้านแนวคิดสตรีนิยมและประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสสมัยสงครามชี้ว่า มาตา ฮารี ตกเป็นเหยื่อของสงครามโฆษณาชวนเชื่อ โดยฝรั่งเศสต้องการให้เธอเป็นแพะรับบาป เพื่อสร้างคำอธิบายกับประชาชนว่า เหตุใดฝรั่งเศสจึงพ่ายแพ้หรือตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบบ่อยครั้งในการสู้รบกับเยอรมนี การเป็นสายลับสองหน้าของเธอถูกทางการฝรั่งเศสกล่าวโทษว่า ทำให้ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรต้องเสียชีวิตไปในสมรภูมิหลายพันคน ภาพลักษณ์การเป็นนักเต้นเปลื้องผ้ายั่วยวนของเธอก่อนหน้านี้ ยิ่งตอกย้ำให้ดูเป็นหญิงไร้ศีลธรรมที่ทำทุกอย่างได้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แม้แต่การทรยศต่อชาติที่ทำให้เธอมีตัวตนชื่อเสียงขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม บันทึกการสอบสวนมาตา ฮารีของฝรั่งเศสที่ได้รับการเปิดเผยใหม่ชี้ว่า ในการสอบปากคำเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1917 เธอยอมรับสารภาพว่าเป็นสายลับให้เยอรมนีจริง แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1915 ครั้งที่เธออยู่ในกรุงเฮกและไม่สามารถเดินทางกลับกรุงปารีสตามที่ต้องการได้ กงสุลเยอรมันผู้หนึ่งได้เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ขอให้เธอให้ข้อมูลบางอย่างกับเขาเป็นครั้งคราวด้วย
ในการให้ปากคำดังกล่าวเธอยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาจะช่วยเหลือเยอรมนีจริง ๆ แต่แค่ตกปากรับคำไปเพราะต้องการเงินก้อนหนึ่งเพื่อใช้หนีกลับกรุงปารีสเท่านั้น เธอสาบานว่าจงรักภักดีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งพิสูจน์ได้จากการที่เธอช่วยสืบความลับให้ฝรั่งเศสหลายครั้ง แต่น่าเสียดายว่า คำให้การนี้เป็นหลักฐานมัดตัวเธอเอง จนทำให้ต้องโทษประหารในที่สุด
หลังมาตา ฮารีเสียชีวิตแล้ว ไม่มีญาติหรือผู้ใดมาขอรับศพ โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในกรุงปารีสจึงนำร่างของเธอไปใช้ในการเรียนการสอนกายวิภาค ศีรษะของเธอถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนมีการตรวจสอบพบว่าส่วนศีรษะนั้นหายไปแล้ว และสันนิษฐานกันว่าอาจถูกขโมยลักเอาไป
- BBC Thai
Tags: