อิสลามกับคำสอนเรื่องการ “ฆ่าคน”
อิสลามกับคำสอนเรื่องการ “ฆ่าคน” โดย ชัรฟุดดีน อามิลี (กลุ่มอัซซาบิกูน)
وَٱقْتُلُوهُمْ حَيْثُ ثَقِفْتُمُوهُم وَأَخْرِجُوهُمْ مِّنْ حَيْثُ أَخْرَجُوكُمْ وَٱلْفِتْنَةُ أَشَدُّ مِنَ ٱلْقَتْلِ وَلاَ تُقَاتِلُوهُمْ عِنْدَ ٱلْمَسْجِدِ ٱلْحَرَامِ حَتَّىٰ يُقَاتِلُوكُمْ فِيهِ فَإِن قَاتَلُوكُمْ فَٱقْتُلُوهُمْ كَذَلِكَ جَزَآءُ ٱلْكَافِرِينَ
และ จงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และการก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิงกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา (2:191)
บรรดากลุ่ม ผู้ต่อต้านศาสนาอันเที่ยงแท้อย่างอิสลาม มักนิยมกระสันใคร่ที่จะนำโองการข้างต้นนี้ไปโพทะนาหลอกลวงชาวโลกว่า อิสลามมี คำสอนในเรื่องการสนับสนุนลัทธิการก่อการร้าย,การก่อวินาศกรรม ฯลฯ โดยเฉพาะโองการข้างต้นนี้ที่พวกเขาอ้างกันนักหนาว่านี่คือคำสอนของอิสลามที่ เรียกร้องมนุษย์ไปสู่การเข่นฆ่านองเลือดกัน
เป็นความจริงที่ว่า กลุ่มผู้มีฉันทาคติต่ออิสลามได้อ้างโองการนี้เพื่อสนับสนุนสมมุติฐานของพวกเขาอย่างอวิชชาหรือปราศจากความรู้ในอัลกุรอานและอิส ลามอย่างแท้จริง ซึ่งหากว่าไม่เป็นการจมปลักอยู่ในคอกแห่งความเขลาแล้วก็ไม่อยากเลยที่พวกเขา จะทำการศึกษาอิสลามด้วยดวงจิตที่เป็นเสรีชนมากกว่าจะหลงงมงายไปศึกษาอิสลาม ผ่านเว็บไซต์จำพวกอคติต่ออิสลามอย่างมืดบอดหรือหนังสือของเครือข่ายเหล่านี้ พร้อมกับเชื่อทุกคำแอบอ้างลวงโลกของพวกเหล่านี้
แม้กระทั่งคนอย่าง นายอะลี ซินา เจ้าของเว็ปไซต์ชื่อกระฉ่อนอย่าง Faith-freedom ซึ่งอ้างนักหนาว่า เคยเป็นอดีตมุสลิมผู้เข้าใจแก่นแท้แห่ง “ธรรมเถื่อน” ของอิสลามก็ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงความ มืดบอดและลวงโลกของตัวเขาที่มีต่ออิสลาม(ซึ่งก็น่าสมเพทพวกแอนตี้อิสลามตาม เว็ปไซต์ไทยต่างๆที่มืดบอดนิยมนำบทความของอะลีซินามานำเสนอในรูปแบบภาษาไทย เช่น นายอรชุน แห่งเวปสีแดง นาย งงทุกสถานการณ์ แห่งเว็ปพันทิพย์ ฯลฯ) แล้วคนจำพวกนี้นะหรือที่ท่านหวังพบอิสลามที่แท้จริงจากงานเขียนของเขา
ขอให้ท่านได้มาติดตามโองการนี้กันใหม่
وَٱقْتُلُوهُمْ حَيْثُ ثَقِفْتُمُوهُم وَأَخْرِجُوهُمْ مِّنْ حَيْثُ أَخْرَجُوكُمْ وَٱلْفِتْنَةُ أَشَدُّ مِنَ ٱلْقَتْلِ وَلاَ تُقَاتِلُوهُمْ عِنْدَ ٱلْمَسْجِدِ ٱلْحَرَامِ حَتَّىٰ يُقَاتِلُوكُمْ فِيهِ فَإِن قَاتَلُوكُمْ فَٱقْتُلُوهُمْ كَذَلِكَ جَزَآءُ ٱلْكَافِرِينَ
และ จงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก (เนื่องจากพวกเขารุกรานมุสลิมเลยต้องตอบโต้กลับ-ผู้แปล) และการก่อความวุ่นวายร้ายแรงยิงกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา (2:191)
โองการ ข้างต้นนี้คือ การสนับสนุนลัทธิก่อการร้าย? หรือเป็นเพียงแค่การอ้างอิงข้อความของอัลกุรอานโดย พวกผู้ไม่หวังดีต่ออิสลามในชนิดละเลยบริบทรอบข้างของ โองการนี้หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็คือยกมาอ้างชนิด “มั่วนิ่ม” ไม่ดูตาม้าตาเรือกันแน่??! คำตอบก็คือใช่! กลุ่มผู้ไม่หวังดีต่ออิสลามได้อ้างโองการนี้อย่างปราศจากการดูบริบทของ โองการก่อนหน้านี้และหลัง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเศร้าระคนสมเพทใจที่พวกเขาพูดถึงอิสลามแบบยกเมฆและตี ความอิสลามอย่างบิดเบือนโดยเจตนาเพราะมิใช่เรื่องยากเลยหากพวกเขาจะอ้างอิง ข้อความอัลกุรอานที่ต่อเนื่องและเกี่ยวพันดังนี้
وَقَاتِلُواْ فِي سَبِيلِ ٱللَّهِ ٱلَّذِينَ يُقَاتِلُونَكُمْ وَلاَ تَعْتَدُوۤاْ إِنَّ ٱللَّهَ لاَ يُحِبُّ ٱلْمُعْتَدِين
َ
และ พวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้าก่อน และจงอย่ารุกราน(คนอื่นเขา) แท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน (2:190)
وَٱقْتُلُوهُمْ حَيْثُ ثَقِفْتُمُوهُم وَأَخْرِجُوهُمْ مِّنْ حَيْثُ أَخْرَجُوكُمْ وَٱلْفِتْنَةُ أَشَدُّ مِنَ ٱلْقَتْلِ وَلاَ تُقَاتِلُوهُمْ عِنْدَ ٱلْمَسْجِدِ ٱلْحَرَامِ حَتَّىٰ يُقَاتِلُوكُمْ فِيهِ فَإِن قَاتَلُوكُمْ فَٱقْتُلُوهُمْ كَذَلِكَ جَزَآءُ ٱلْكَافِرِين
َ
และ จงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และการก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิงกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา (2:191)
فَإِنِ ٱنتَهَوْاْ فَإِنَّ ٱللَّهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ
แล้วถ้าหากพวกเขายุติ(การรุกราน) แน่นอนอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ (2:192)
وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّىٰ لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ ٱلدِّينُ للَّهِ فَإِنِ ٱنْتَهَواْ فَلاَ عُدْوَانَ إِلاَّ عَلَى ٱلظَّالِمِينَ
และ จงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น (2:193)
เหล่า นี้คือข้อความของอัลกุรอานที่ข้าพเจ้าได้ยกมาอ้างอิงให้ท่านทั้งหลายได้แลชม ซึ่งท่านทั้งหลายจะประจักษ์แจ้งแก่ความจริงว่าเมื่อเราได้อ่านพบข้อความ เต็มๆทั้งหมดในอัลกุรอานโองการนี้แล้ว เราจะไม่พบการสนับสนุนการก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรมใดๆตามที่ได้มีการ โกหกแอบอ้างจากพวกผู้อคติต่ออิสลามเลย กลับกันเราจักพบถึงคำสอนในเรื่องของสิทธิอันชอบธรรมของรัฐและพลเมืองหนึ่งๆ ที่จะกระทำการตอบโต้การรุกรานอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของการป้องกันตัวเอง
กลุ่มโองการเหล่านี้เราสามารถเข้าใจอย่างสรุปได้เลยว่า พระธรรมของอัลกุรอานนั้นกำลังพูดถึงสภาพอันยุ่งเหยิงของโลกอันแท้จริง(มิใช่ พูดเป็นอุดมคติลอยๆทำไม่ได้) ว่า หากรัฐและพลเมืองของชาวมุสลิมถูกลอบรุกรานโจมตีจากฝ่ายศัตรู ดังนั้นจึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมของมุสลิมที่จะทำการตอบโต้การรุกรานดังกล่าว เพื่อพิทักษ์ชีวิตของพวกเขา ดังที่อัลกุรอานได้เริ่มพรรณนาไว้ในโองการที่ 190 ตามที่ได้ยกมา มิใช่เป็นการยกโองการที่ 191 ชนิด “โด่เด่” ไม่สนใจโองการรอบข้างโดยพวกผู้ไม่หวังดีต่ออิสลาม เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่อคติต่ออิสลามหากปรารถนาจะเข้าใจกลุ่มโองการเหล่านี้ แล้วไซร้พวกเขาก็จำต้อง อ่านมาตั้งแต่โองการที่ 190 เป็นต้นมา ซึ่งเมื่อเราอ่านกลุ่มโองการเหล่านี้ทั้งหมดเราจะพบว่ามันเป็นเพียงแค่คำสอน เกี่ยวกับสงครามป้องกันตนเองจากการรุกรานที่อิสลามอนุมัติเท่านั้น มิใช่การก่อการร้าย ซึ่งหาใช่แต่อิสลามเท่านั้นที่สอน มนุษย์และรัฐทุกๆรัฐบนโลกนี้ก็ปฏิเสธความจริงข้อนี้ของพวกเขาไม่ได้ว่าพวก เขาจำต้องมีกองทัพปกป้องตนเองจากการรุกรานแม้นว่าพวกเขาจะกระหายสันติภาพมาก ขนากไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถละเลยการสร้างกองทัพและพร้อมที่จะตอบโต้ศัตรูได้เสมอ เมื่อยามมีการรุกราน อุปมาเรื่องนี้ก็อุปมัยได้กับบ้านของพลเรือนที่จำต้องมีประตูรั้วและลูกกรง ล็อคเพื่อป้องกันการขโมยไว้
และเมื่อใดที่บ้านถูกโจรขึ้นยกเค้าขโมยของก็เป็นสิทธิของเจ้าบ้านที่จำต้อง ตอบโต้หัวขโมย การป้องกันรัฐและพลเรือนมุสลิมก็เช่นเดียวกัน อิสลามซึ่งคำนึงถึงข้อเท็จจริงประการนี้จึงได้มีการอนุมัติยินยอมให้ตอบโต้ ฆ่าฟันผู้รุกรานได้ ณ ที่พวกเราพบเขา แต่ก็แปลกที่ว่าแม้นหลักการนี้จะเป็นสัจธรรมเพียงไรก็ตาม บรรดาศาสนาทั้งผองบนโลกนี้ก็แสร้งกระแดะไม่ยอมสอนให้ถูกต้องกลับตีคลุมสั่ง สอนว่าการฆ่าฟันทุกกรณีคือบาปไม่ใช่แก่นธรรมของศาสนา ซึ่งการที่รัฐทุกรัฐบนโลกนี้จำต้องมีอาวุธเพื่อประหัตประหารผู้รุกรานนั้นก็ ล้วนแล้วแต่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลในอุคติของศาสนาเหล่านั้น ที่สวนทางกับความเป็นจริงของโลก เพระแม้แต่วาติกันอันเป็นคริสตจักรเองต่างก็มีกองทัพและเปิดฉากเข่นฆ่าผู้ รุกรานมาเสมอ หรือแม้แต่ไทยอันเป็น “รัฐพุทธ” ที่ชาวไทยต้องการให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็จำต้องมีกองทัพ และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีการประหัตประหารผู้รุกรานมาตลอด ดูกรณีสงครามร่มเกล้า นั่นประไร! ที่แม้ขนาดพระสงฆ์เองยังต้องออกมารองรับการต่อสู้ฆ่าฟันของทหารไทยที่ร่วมปก ป้องดินแดนจากการรุกรานของต่างชาติ
อย่างไรก็ดีแม้ว่า อิสลามจะเป็นศาสนาที่คำนึงถึงความจริงโดยการบรรจุเรื่อง “สงคราม” ไว้ในพระธรรมของศาสนาแล้ว ที่เหนือกว่านั้นคือการที่อิสลามสอนว่าแม้นอิสลามจะสั่งใช้ในเรื่องการ สงครามก็ดีอิสลามก็ยังมีมิติของการสรรสร้างสันติภาพและหลีกเลี่ยงสงครามให้ มากที่สุดเท่าที่กระทำได้ จากกลุ่มโองการที่ยกไปข้างบน (2:192) ว่าหากผู้รุกรานเริ่มต้นยุติการต่อสู้และประสงค์จะทำสันติภาพกับมุสลิม ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่มุสลิมจะต้องยุติการสงครามและทำสันติภาพกับพวกเขา ด้วยพร้อมกันนี้ยังสำทับหนักแน่นว่าจงอย่ารุกรานผู้อื่น คำสอนเยี่ยงนี้ของอิสลามนะหรือที่ศัตรูของอิสลามอ้างว่าเป็นการสนับสนุน ลัทธิก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรม !!? ท่านสามารถพบพระธรรมอันประเสริฐเช่นนี้ได้หรือไม่จากศาสนาอื่น ขอให้ท่านจงแสดงมาอย่างชัดแจ้งสิในพระธรรมของศาสนาอื่น มิใช่ยกอะไรที่จำต้องตีความชักลากเพื่อโปรโมทตัวเองไม่!!
ดังนั้น ข้อสรุปก็คือว่า โองการในข้อที่ 191 นั้นมิได้เป็นโองการแห่งลัทธิก่อการร้ายใดๆไม่เลย แต่ทว่ามันเป็นเพียงแค่โองการที่เรียกร้องมวลมุสลิมให้กระทำการป้องป้องตน เองจากการรุกรานเท่านั้น!! ดังที่ข้าพเจ้าได้ยกมานำเสนอ อันเป็นความต่อเนื่องนับตั้งแต่โองการที่ 190 เป็นต้นมา ซึ่งได้สอนว่าหากมุสลิมถูกรุกรานก็จงตอบโต้การรุกรานนั้น และในโองการต่อมาก็ระบุว่าหากศัตรูอยากยุติการต่อสู้และทำสันติภาพก็จงกระทำ ไปตามนั้น นี่แหละความยุติธรรมของอิสลาม ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหนสำหรับชนผู้ปลอดอคติ!!
พระองค์อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง
muslimchiangmai.net
Tags: