ทำไมชาวยิว ต้องอยากได้“มัสยิด”ของมุสลิมนัก?
ความสำคัญของเยรูซาเล็มในทัศนะของชาวยิวและชาวมุสลิม
โดยอาจารย์ ศราวุฒิ อารีย์
มีข่าวแว่วออกมาบอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจประกาศรับรองสถานะของเยรูซาเล็มในวันพุธที่จะถึงนี้ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งก็เท่ากับว่าสหรัฐฯอาจละทิ้งจุดยืนที่ยึดถือมาตลอดหลายสิบปี และอาจส่งผลให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความตึงเครียด
ทั้งนี้อิสราเอลได้เข้ายึดเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นย่านคนอาหรับระหว่างสงคราม 6 วันเมื่อค.ศ. 1967 และประกาศใน ค.ศ. 1980 ว่าพื้นที่เยรูซาเล็มทั้งหมดถือเป็นเมืองหลวงหนึ่งเดียวของอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯและสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ทั้งหมดยังไม่รับรองการผนวกนครแห่งนี้ และถือว่าสถานะสุดท้ายของเยรูซาเล็มเป็นเรื่องที่จะต้องตกลงกันผ่านการเจรจาสันติภาพระหว่างชาวยิวและชาวปาเลสไตน์
บทความนี้ ผมคงยังไม่วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด เพียงแต่อยากให้ข้อมูลความสำคัญของเยรูซาเล็มทั้งในสายตาของชาวยิวและชาวมุสลิม เพื่อทำความเข้าใจกันอีกครั้ง
เยรูซาเล็ม (มุสลิมเรียกว่า อัล-กุดส์) ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ทั้งโลก โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาสากลแบบเอกเทวนิยม ไม่ว่าจะเป็น ศาสนายูดาห์ คริสเตียน หรือ อิสลาม ซึ่งมีจำนวนประชากรผู้นับถือรวมกันไม่ต่ำกว่า 3,700 ล้านคน หรือคิดเป็นประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของโลก
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา เมืองเยรูซาเล็มจึงมีความสำคัญทั้งด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ของโลกตลอดมา อันเป็นบ่อเกิดของทั้งสันติภาพและความขัดแย้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย
ในมิติความขัดแย้งนั้น ประเด็นหลักมักวนเวียนอยู่ที่ข้อถกเถียงว่า ศาสนาใดใกล้ชิดเกี่ยวพันกับดินแดนเยรูซาเล็มมากกว่ากัน จนเป็นที่มาของการอ้างสิทธิครอบครองเมืองนี้ของแต่ละฝ่าย กลายเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอลเรื่อยมานับตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน (นอกเหนือจากประเด็นเขตแดนรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคน และปัญหาการตั้งนิคมชาวยิวจำนวนมากอย่างผิดกฎหมายในดินแดนปาเลสไตน์)
ขณะที่ชาวมุสลิมทั่วโลกต่างให้การยอมรับความสำคัญของศาสนายูดาห์และคริสเตียน ซึ่งมีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับนครเยรูซาเล็ม แต่ก็ย้ำว่า สถานที่แห่งนี้ก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน และเยรูซาเล็มมิได้มีความผูกมัดทางจิตวิญญาณต่อชาวปาเลสไตน์หรือชาวอาหรับเท่านั้น แต่มหานครแห่งนี้คือศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมทั่วโลกอีกด้วย
เพราะนอกเหนือจากมัสยิดฮารอมในนครมักกะฮ์และมัสยิดนะบะวีย์ในมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียแล้ว มัสยิดอัล-อักศอในเยรูซาเล็ม ถือเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม อีกทั้งอัล-อักศอยังถือเป็น "กิบลัต" แรกในประวัติศาสตร์อิสลาม หรือชุมทิศแรกที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอพรต่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในเวลาต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้ว มัสยิดอัล-อักศอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอันเนื่องมาจากมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ศาสดามุฮัมมัดได้ละหมาดก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “อิสรออ์และมิอ์รอจญ์”
แต่สำหรับชาวยิวแล้ว เยรูซาเล็มคือที่ตั้งของ The Temple Mount หรือพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างโดยศาสดาโซโลมอน หรือที่มุสลิมรู้จักในนามศาสดาสุไลมาน (ปกครองระหว่าง 971-931 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่พระวิหารยุคแรกนี้ก็ถูกทำลายโดยพวกบาบิโลนเมื่อ 587 ก่อนคริสต์ศักราช
จากนั้นก็มีการสร้างมหาวิหารยุคที่ 2 ขึ้นในสมัยกษัตริย์ไซรัสมหาราชและดาไรอุส อีก 500 ปีต่อมาพระวิหารที่ 2 (Second Temple) ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยกษัตริย์แฮรอดมหาราชจนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “พระวิหารแฮรอด”
แต่สุดท้ายพระวิหารแห่งใหม่นี้ก็ถูกทำลายโดยพวกโรมันใน ค.ศ.70 เหลือแต่ซากกำแพงเก่าที่ไม่ได้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นที่มาของ "กำแพงร้องไห้" ที่อยู่ทางตะวันตก หรือ “Western Wall”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้นับถือศาสนายูดาห์นิกายออร์โธด็อกซ์ ก็ตั้งหน้ารอคอยการสร้างพระวิหารยุคที่ 3 ในเยรูซาเล็ม พร้อมกับการรอคอยการปรากฏตัวของเมสไซยาห์ของชาวยิว (Jewish Messianism) ก่อนที่พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายโลก
ปัญหาก็คือ ตามความเชื่อของชาวยิวกลุ่มนี้ หากจะฟื้นฟูมหาวิหารยุคที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รื้อถอนมัสยิดอัล-อักศอและโดมทองแห่งศิลา (Dome of the Rock) ของชาวมุสลิมเสียก่อน เพราะมัสยิดเหล่านี้ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาที่ชาวยิวเชื่อว่าเป็น "The Temple Mount"
พูดอีกอย่างคือ ชาวยิวอ้างว่าข้างใต้ศาสนสถานสำคัญของชาวมุสลิมในเยรูซาเล็มคือซากมหาวิหารโซโลมอนนั่นเอง
นี่แหละครับคือสาเหตุหลักที่ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นเมืองแห่งความวุ่นวายอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในสื่อทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับฟันธงว่า เยรูซาเล็มอาจเป็นระเบิดเวลาสำหรับสงครามใหญ่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้าไม่นาน
ที่มา เฟสบุคส่วนตัว Srawut Aree
Tags: