“อิมเมจ” กับ “เหยื่อของสังคมโซเชียล”
เป็นกรณีศึกษา และ เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ สำหรับ มนุษย์ยุค ตะโกนกร้าวใส่โลกบนโซเชียลมีเดีย สำหรับ ดราม่าของ น้อง “อิมเมจ”
ผลของมันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่คุณคิดเลย...มันไม่เหมือนกับเวลาที่ คุณหงุดหงิดแล้วตะโกนใส่โอ่งน้ำที่บ้าน ซึ่งคุณได้ระบายได้เต็มที่ เสียงดังฟังชัด แต่คุณได้ยินได้ฟังคนเดียว แต่สำหรับ โอ่งหรือ กระโถนนาม โซเชียลมีเดียแล้ว....มันดังมากดังไกล ขยายออกไปจนคุณคาดไม่ถึง...!
สิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากสะท้อนบทเรียนในเรื่องของความน่ากลัวที่ยากจะควบคุมของโลกโซเชียลมีเดียแล้ว บทเรียนหนึ่งที่ควรจดจำไว้ให้ขึ้นใจก็คือ....การแสดงออกของคุณบนโลกโซเชียล...อาจกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของคนบนสังคมได้ง่ายๆ ถูกนำไปเป็นเครื่องมือ ขยายผลให้ใหญ่โตเพิ่มขึ้นของนัก ฉวยโอกาส และ นักคิดอารมณ์ค้างทั้งหลาย
เรื่องของการบ่น การสบถ แสดงออกถึงความไม่พอใจ ของ “อิมเมจ” อาจจะเป็นการแสดงออกของอารมณ์ที่ไม่พอใจ ต้องการระบาย และไม่น่าเป็นเรื่อง ดราม่าขึ้นมาได้ และ ด้วยความเป็น คนสาธารณ ย่อมมีคนติดตามจับตาเป็นธรรมดา แม้ว่าจะมีซื่อเสียงมากน้อยเพียงก็ตาม แต่ เมื่อถูกนำมาขยายต่อสาธารณ ความเร็วและความแรงของกระแสจึงถูกกระพือออกไปอย่างยากจะควบคุม
นอกจากนี้ เมื่อประเด็นถูกฉวยโอกาสจุดขึ้นมาแล้ว กลายมาเป็นประเด็นสังคมขึ้นมา บรรดากลุ่มหรือคนที่มีอคติต่างกัน มีจุดยืนต่างกัน จึงสบโอกาส สบช่องนำมาขยายประเด็นไปกันใหญ่ คนที่ไม่พอใจรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่แล้วในขณะนี้ ก็ได้โอกาสกระโดดลงมาใช้ประเด็นที่ถูกจุดขึ้นมาปั่นกระแสส่งต่อไปอีก
ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายที่มีจุดยืนตรงข้าม เข้ามาต่อความยาวสาวความยืดออกไปอีก ....ประเด็นที่ถูกบนถูกสบถด้วยความไม่พอใจส่วนตัวจึงกลายเป็น เหยื่ออันโอชะ ในสังคมโลกโซเชียลขึ้นมาทันที
ความไม่พอใจ ความหงุดหงิดใจ ที่ทำให้คนๆหนึ่งบนออกมาและกล่าวโทษไปไกลมันอาจเป็นเพียงชั่ววูบของอารมณ์ของคนๆนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าทุกๆคนก็เคยเป็น เคยบ่น เคยสบถ แต่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่บนโลกโซเซียลที่ยากจะควบคุม หรือ อาจจะไม่ได้เป็นคนสาธารณที่มีคนติดตาม มันจึงไม่เป็นเรื่องขึ้นมา ดังนั้น ดราม่า ที่เกิดขึ้น กรณีของ “อิมเมจ” จึงเป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ต้องจดจำ..และ อย่าได้หลงตกเป็นเหยื่อบนสังคมโลกโซเชียลอีกต่อไป ...
Tags: