การพิสูจน์สัจธรรมของอัลกุรอาน
วิทยา ศาสตร์ที่แท้จริงซึ่งจะนำไปสู่อัลกุรอานนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคัมภีร์เล่มนี้นำเสนอบางสิ่งซึ่งคัมภีร์ของศาสนาอื่นไม่ได้เสนอใน ลักษณะที่ชี้เฉพาะลงไป วิธีการนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต่างเรียกร้อง ในปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่มีแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินไปของจักรวาล กลุ่มคนเหล่านี้ค่อนข้างมีความเข้าใจในภาพรวมของสิ่งเหล่านี้
แต่ ถึงอย่างไรก็ตามในหมู่นักวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์เองนั้นกลับไม่ค่อยจะรับฟัง พวกเขามากนัก ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้องวิธี การที่เรียกว่า “test of falsification” (การทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาด) พวกเขากล่าวว่า “หาก คุณเสนอทฤษฎีใด ๆ ขึ้นมาทฤษฎีหนึ่ง เราจะยังคงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณบอกมา จนกว่าคุณจะสามารถหาข้อพิสูจน์ที่สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือมายืนยันได้ว่า ทฤษฎีของคุณนั้นผิดหรือถูก?
การพิสูจน์ความจริงเช่นนี้ทำให้ บรรดานักวิทยาศาสตร์รับฟังไอน์สไตน์ในช่วงต้นศตวรรษที่ผ่านมา ไอน์สไตน์ได้เสนอทฤษฎีใหม่พร้อมกับกล่าวว่า "ฉันเชื่อว่าจักรวาลทำงานเช่นนี้... (พร้อมกับเสนอว่า) และนี่คือแนวทางสามประการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันผิด!...” ดังนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบทฤษฎีของเขา และภายในหกปีทฤษฏีของเขาก็ผ่านการทดสอบทั้งสามข้อ แน่นอนวิธีการของเขาเช่นนี้ไม่ได้ต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นการยืนยันว่า ควรจะรับฟังความเห็นของเขา ทั้งนี้เพราะเขากล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นความคิดเห็นของฉัน และหากพวกคุณต้องการจะพิสูจน์ว่าฉันพูดผิด ก็จงทำวิธีอย่างนี้หรือไม่ก็ทดสอบอย่างนั้น"
แท้จริงแล้ว นี่เป็นการท้าทายหาข้อผิดพลาดของคัมภีร์อัลกุรอาน (“falsification tests”) บางอย่างได้รับการพิสูจน์มาแล้ว และบางอย่างก็ยังคงต้องรอการพิสูจน์อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยพื้นฐานแล้ว "หากคัมภีร์เล่มนี้ยังไม่ได้แสดงสิ่งใดดังที่กล่าวอ้างเอาไว้, คุณก็ควรจะทำสิ่งนี้ หรือสิ่งนั้น หรืออย่างนี้ เพื่อที่คุณจะได้พิสูจน์ว่าอัลกุรอานนั้นมีความผิดพลาด” แต่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าในช่วงเวลากว่า 1,400 ปีที่ผ่านมากลับยังไม่มีใครสักคนที่สามารถจะทำหรือแสดง "สิ่งนี้ หรือ สิ่งนั้น หรืออย่างนี้" ตามคำท้าทายนั้นได้เลย เพราะฉะนั้นคัมภีร์อัลกุรอานจึงยังคงถูกต้องและเป็นจริงอยู่ต่อไป
การทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นความจริง
เรา ขอแนะนำท่านว่า หากวันหนึ่งมีใครมาโต้เถียงกับท่านเกี่ยวกับอิสลาม และเขาอ้างว่าเขาครอบครองสัจธรรมและกล่าวว่าท่านนั้นกำลังอยู่ในความมืดมน แรกสุดคุณต้องยุติข้อขัดแย้งอื่นๆทั้งหมดเสียก่อน แล้วทำตามคำแนะนำดังนี้ จงถามเขากลับไปว่า "ในศาสนาของท่าน มีการทดสอบด้วยหลักการ พิสูจน์ว่าจริงเท็จ(falsification test) ใดๆ หรือไม่ ? และถ้ามีในสิ่งเหล่านั้น ถ้าสมมติฉันสามารถพิสูจน์ด้วยหลักการนี้ได้ว่ามันผิด คุณจะยังคงยืนหยัดกับสิ่งนั้นอยู่อีกหรือไม่ ?” ถึงตอนนี้ แน่นอนข้าพเจ้าสามารถยืนยันได้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่มีสิ่งใด ไม่เคยมีการตรวจสอบ ไม่เคยมีการพิสูจน์ลักษณะนี้อย่างแน่นอน ! ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้คิดว่า พวกเขาไม่ควรที่จะนำเสนอแค่เฉพาะสิ่งที่พวกเขาเชื่อเท่านั้น แต่ควรจะเปิดโอกาสให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกด้วย แต่อิสลามกลับเสนอสิ่งนี้
ตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่าอิส ลามเปิดโอกาสให้มนุษย์พิสูจน์ถึงความแท้จริงและถูกต้องของคัมภีร์อัลกุรอาน) และ “ท้าทายให้หาข้อผิดพลาด” ดังปรากฏอยู่ในบทที่ 4 ของคัมภีร์เล่มนี้, และด้วยความบริสุทธิ์ใจ ข้าพเจ้า (ดร.แกรี่ มิลเลอร์) รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งในครั้งแรกที่ได้มาพบกับการท้าทายนี้ ซึ่งกล่าวว่า:
"พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ ? และหากมันมาจากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺแล้ว, แน่นอนพวกเขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมายในนั้น. (บทอัน-นิสาอฺ, 4:82):
นี่คือการท้าทายอย่างชัดแจ้งต่อผู้ไม่ใช่มุสลิม โดยพื้นฐานแล้ว คัมภีร์เล่มนี้ได้เชิญชวนให้พวกเขาค้นหาข้อผิดพลาดในนั้น แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น กลับเป็นการท้าทายที่สาหัสและยากยิ่งสำหรับพวกเขา เราจะเห็นว่าลักษณะการนำเสนอโดยการท้าทายอย่างองอาจเช่นนี้ โดยพื้นฐานแล้ว เราไม่อาจจะพบได้ในธรรมชาติของความเป็นมนุษย์และยังไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพ ของคนโดยทั่วไป ดังเช่นนักเรียนคนหนึ่งที่หลังจากการสอบสิ้นสุดลง เขาก็ได้เขียนข้อความสั้น ๆ ไปท้าทายอาจารย์ผู้สอนว่า "การสอบครั้งนี้สมบูรณ์ ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเลยในข้อสอบนี้ ลองหาข้อผิดพลาดมาสักข้อหากว่าอาจารย์ทำได้ !” แน่นอนอาจารย์ผู้ถูกท้าท่านนั้นจะไม่หลับไม่นอนเป็นแน่ จนกว่าจะค้นพบข้อผิดพลาดนั้น! และด้วยลักษณะ (การท้าทาย) เดียวกันนี้เองที่อัลกุรอานใช้กับมนุษย์
ที่มา : https://muslim-teenager.blogspot.com/
Tags: