มุสลิมควรรู้! อาหาร และธุรกิจต้องห้าม ในอิสลาม
มุสลิมควรรู้! อาหาร และธุรกิจต้องห้าม ในอิสลาม
เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ เพราะการกินเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจ ถ้ามนุษย์ต้องการกินสิ่งใด มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งนั้นขึ้นมาตอบสนอง
ถ้ามนุษย์รู้จักกินของดีและมี ประโยชน์ มนุษย์ก็จะผลิตแต่ของดีและมีประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แต่ในทางตรงข้ามถ้ามนุษย์กินของที่เป็นโทษ มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งที่เป็นโทษออกมาตอบสนองซึ่งจะเป็นโทษต่อมนุษย์เองหรือถ้า ไม่รู้จักกินมนุษย์ก็จะกินทุกอย่างแม้กระทั่งเนื้อหมาและกินเลือดกินเนื้อ ของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นคำสอนของทุกศาสนาจึงวางกรอบการกินไว้สำหรับมนุษย์มานานนับตั้งแต่โลก นี้ยังไม่มีกฎหมายและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้มิใช่เพื่ออะไรนอกไปจากเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์นั่นเอง แม้แต่สัตว์ก็ยังมีกรอบการกินของมันเอง เช่น ปศุสัตว์ทั้งหลายจะกินแต่หญ้าและพืช ไม่กินเนื้อในขณะที่สัตว์มีเขี้ยวเช่นเสือ จระเข้ก็จะกินแต่เนื้อ ไม่กินพืช
คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่าแม้แต่คำสอนของพุทธศาสนาเองก็ยังห้ามดื่มสุราเหมือนกับคำ สอนของศาสดาคนอื่นๆ
คัมภีร์ไบเบิลเองก็มีข้อจำกัด เรื่องอาหารมากกว่าคำ สอนของพุทธศาสนาเพราะนอกจากจะห้ามสิ่งมึนเมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลยังห้ามกินเนื้อหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆอีกบางชนิดด้วย ดังนั้นถ้าคนคริสเตียนเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลจริงๆก็จะต้อง ไม่กินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆก็คือชาวยิวที่ยึดถือคัมภีร์โตราห์(หรือพันธสัญญาเดิม)จะไม่กิน เนื้อหมูและอาหารบางประเภทที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ของตนด้วยเช่นกัน ชาวยิวมีกฎหมายกำหนดว่าอะไรที่กินได้และอะไรที่ศาสนาไม่อนุมัติให้กินเป็น ของตนเองโดยเฉพาะ สิ่งที่ศาสนาของชาวยิวอนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “โคเชอร์” ส่วนอาหารที่ศาสนาของชาวยิวไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “เทรฟาห์” (สิ่งต้องห้าม) เช่น เลือด เนื้อหมู กระต่าย สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก นกป่า เป็ดป่า และนกล่าเนื้อ เป็นต้น (ดูพันธสัญญาเก่า ฉบับอพยพ 22:31)
ที่กล่าวมานั้นเป็นตัวอย่างที่ ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีกรอบในการกินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว และเรื่องการกินก็เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรดังคำ พังเพยที่ว่า “ยูอาร์ว็อทยูอีท” (You are what you eat) หรือ “คุณเป็นอย่างที่คุณกิน” ถ้ามนุษย์กินทุกอย่างที่ขวางหน้า มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหมู ชาวยิวรักษาความเป็นยิวไว้ได้ก็เพราะชาวยิวมีอาหารการกินเป็นเอกลักษณ์ของตน เอง ดังนั้น ถ้าใครจะถามชาวยิวว่าทำไมจึงไม่กินนั่นไม่กินนี่ คำตอบที่จะได้ก็คือมันเป็นคำสั่งทางศาสนาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ ตาม
สำหรับมุสลิมก็เช่นกัน การกินไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความสะอาด ความเข้มแข็งและการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของ มนุษย์ด้วย เพราะอาหารที่สกปรกในทัศนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่จะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้วิญญาณพลอยสกปรกไปด้วยและที่สำคัญก็คือการกินอาหารต้องห้าม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าไม่รับคำวิงวอน(ดุอาอ์)ของคนผู้นั้น
ดังนั้น มุสลิมจึงมีกฎเกี่ยวกับอาหารเช่นเดียวกับชาวคัมภีร์รุ่นก่อนๆ สิ่งที่ศาสนาอิสลามอนุมัติให้มุสลิมกินได้นั้นเรียกว่า “ฮะลาล” ส่วนสิ่งต้องห้ามนั้นเรียกว่า “ฮะรอม” แต่กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับเรื่อง “ฮะลาล” และ “ฮะรอม” นั้นจะละเอียดและกว้างขวางครอบคลุมพฤติกรรมอื่นๆของมนุษย์ในทุกๆด้านนอก เหนือไปจากเรื่องอาหารการกินด้วย อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับการกินและการทำสิ่งที่ “ฮะลาล” และละเว้นจากสิ่งที่ “ฮะรอม” นั่นเอง
หากใครถามว่าใครเป็นผู้กำหนด ว่าอะไรเป็นสิ่ง “ฮะลาล” และอะไรเป็นสิ่ง “ฮะรอม” ? คำตอบก็คือพระเจ้า และหลักการอิสลามก็ห้ามมนุษย์ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ใครถืออำนาจบาทใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่าคนนั้นกำลังตั้งตัวเป็นพระ เจ้าแข่งกับพระองค์ นรกกินกบาลตราบกาลนานครับ ตัวอย่างชัดๆที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือพระเจ้าสั่งห้ามกินดอกเบี้ย ห้ามเสพสิ่งมึนเมา แต่มนุษย์ฝ่าฝืน ความวิบัติฉิบหายจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นดังทุกวันนี้
กฎการกินของ อิสลาม
1) อาหารและสิ่งที่จะนำมาใช้ต้องเป็นที่อนุมัติและสะอาด (ฮะลาลันและฏ็อยยิบัน)
2) เป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์
3) กินอย่างพอประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือยหรือสุรุ่ยสุร่าย เพราะคนที่สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของมาร
อะไรบ้างที่เป็นสิ่งต้อง ห้ามในอิสลาม ?
1) เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เยลละตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)
2) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือ เป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
3) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะเนื้อของสัตว์เหล่านี้อาจเป็นอันตรายจากโรคที่ทำให้สัตว์นั้นตาย
4) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ ทั้งนี้เนื่องจากการฆ่าเป็นวิธีการที่ทารุณและการฆ่าโดยวิธีนี้ไม่ทำให้ เลือดของสัตว์ไหลออกมา
5) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิต และชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน หากไม่กล่าวนามพระเจ้าก็แสดงว่าไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของชีวิตสัตว์และขโมย ทรัพย์สินของพระองค์ นอกจากนั้นแล้ว คนที่จะกล่าวนามพระเจ้าในตอนเชือดสัตว์นั้นก็ต้องเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาใน พระองค์ด้วย มิเช่นนั้นแล้ว เนื้อของสัตว์นั้นก็เป็นที่ต้องห้าม ชาวยิวสมัยก่อนก็เชือดสัตว์โดยกล่าวนามพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวยิวไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้แล้ว เนื้อของสัตว์ที่ชาวยิวเชือดซึ่งมุสลิมเคยได้รับการอนุมัติให้กินได้ในสมัย อิสลามยุคต้นจึงไม่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับมุสลิมในปัจจุบัน แต่ชาวยิวจะสามารถกินเนื้อที่มุสลิมเชือดได้อย่างปลอดภัย
6) อาหารใดๆก็ตามที่นำไปเซ่นสรวงผีสางเทวดาหรือนำไปถวายเจ้าอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากคนมุสลิมศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว อาหารใดก็ตามที่นำไปถวายเจ้าอื่นแล้วถือว่าเป็นอาหารเหลือเดนที่อิสลามห้าม มุสลิมนำมากินหรือนำมาใช้
7) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ เนื้อของสัตว์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และการล่าสัตว์เหล่านี้มาเป็นอาหารก็เป็นการทำลายดุลย์ทางนิเวศวิทยาด้วย ในพระไตรปิฎก เนื้อของเสือ หมา หมี ราชสีห์ งู ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน
8) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรานั้น อิสลามถือว่าเป็น “แม่ของความชั่ว” ที่จะออกลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ส่วนยิวถือว่าเหล้าองุ่นทุกอย่างเป็น “โคเชอร์”
เราจะเห็นได้ว่าอาหาร ต้องห้ามดังกล่าวมาทุกอย่างนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดกับมนุษย์ เลย ไม่กินสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ตาย และถ้ากินเข้าไปก็มีแต่จะเกิดโทษกับตัวเอง
นอกจากสิ่งต้องห้ามดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทั้งอิสลามและ ศาสนาคริสต์ห้ามและถือเป็นบาปอย่างร้ายแรงก็คือ“ดอกเบี้ย”
ท่านนบีมุฮัม มัดได้กล่าวถึงพิษภัยของดอกเบี้ยว่า : “เมื่อดอกเบี้ยและการผิดประเวณีปรากฏขึ้นในสังคม คนในสังคมนั้นได้นำตัวของพวกเขาไปสู่การลงโทษของอัลลอฮแล้ว”
“ดิรฮัม หนึ่งของดอกเบี้ยที่ใครกินเข้าไปนั้นเลวกว่าการผิดประเวณี 36 ครั้ง”
“ดอกเบี้ย มี 70 ประเภทด้วยกัน ความรุนแรงอย่างน้อยที่สุดของมันเหมือนกับการผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง”
ธุรกิจ และอาชีพต้องห้าม
นอกจากอาหารที่จะนำมากินต้องฮะลาลแล้ว การได้ประกอบอาชีพซึ่งเป็นหนทางที่ได้มาซึ่งอาหารจะต้องไม่เป็นที่ต้องหาม ด้วย เพราะเงินที่ได้มาโดยวิธีการที่ต้องห้าม(ฮะรอม)นั้นจะพลอยทำให้อาหารและสิ่ง ที่เราใช้พลอยไม่สะอาดไปด้วย ดังนั้น ในการประกอบอาชีพหรือแสวงหารายได้ อิสลามจึงห้ามมุสลิมไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ :-
1. ดอกเบี้ย ไม่ว่าจะรับ ให้ ทำบัญชีหรือเป็นพยาน
2. ซื้อ ขาย โฆษณาสิ่งต้องห้าม เช่น สิ่งมึนเมา เลือด ของโจร โสเภณี
3. กักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไร
4. โกงมาตราชั่ง ตวง วัด
5. แจ้งเท็จคุณภาพสินค้า หรือการสาบานเท็จ ปลอมปนสินค้า
6. การพนัน การเสี่ยงทาย ล็อตเตอรี่
7. หมอดู เครื่องราง ของขลัง
8. การซื้อขายโดยไม่เห็นหรือไม่รู้จักสินค้า
สรุป เหตุผลของการห้ามกินและทำสิ่งต้องห้าม
1) เพื่อรักษาความสะอาดของจิตวิญญาณ
2) เพื่อป้องกันโทษภัยต่อร่างกายและสังคม
3) เพื่อเป็นการทดสอบและรักษาความศรัทธาไว้
ข้อคิดปิดท้าย
เมื่อ เวลาเราไปซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง ห้างขายรถยนต์จะให้คู่มือใช้รถแก่เรามาด้วย ในคู่มือใช้รถจะระบุไว้ว่ารถยนต์คันนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเบนซิน เราก็ต้องใช้น้ำมันเบนซินตามนั้นถ้าเราไปเอาน้ำมันเครื่องบินหรือน้ำมันขี้ โล้มาใช้แทน ไม่ช้าเครื่องยนต์ก็พังเพราะเราไปใช้น้ำมันผิดแบบที่วิศวกรผู้สร้างรถยนต์ กำหนดไว้ ชีวิตของของมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณก็เช่นกัน มนุษย์ไม่ได้สร้างชีวิตของเขาขึ้นมาเอง พระเจ้าต่างหากที่ออกแบบและสร้างมนุษย์มา พระองค์จึงย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวมนุษย์และพระองค์ก็บอกไว้ใน คัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นคู่มือการใช้ชีวิตสำหรับมนุษย์ ใครที่เชื่อในพระเจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามคู่มือนั้น อาจมีบางคนกินสิ่งต้องห้ามเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตทันตาเห็น แต่สิ่งที่แน่ๆก็คือ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนเรื่องการกิน มนุษย์ก็สามารถฝ่าฝืนพระเจ้าในเรื่องอื่นๆได้ และเมื่อมนุษย์ต่างคนต่างฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าผลที่ตามมาก็ย่อมจะไม่แตกต่าง
www.muslimchiangmai.net
Tags: