ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่โลกหลังความตายมีจริง!!
ก่อนหน้านบีมุฮัมมัดเกิดในแผ่นดินอาหรับเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียเป็นสองมหาอาณาจักรที่ทำสงครามแย่งชิงดินแดนชามซึ่งประกอบไปด้วยซีเรีย เลบานอน จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
สองมหาอาณาจักรนี้เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกในขณะที่ชาวอาหรับมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่า ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมายและไม่มีความรู้ใดๆ แต่เนื่องจากชาวอาหรับต้องเดินทางไปค้าขายที่อัชชามเมืองชุมทางการค้าที่เส้นทางสายไหมพาดผ่าน ชาวอาหรับจึงได้รับประสบการณ์จากทั้งโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
แม้ไม่มีอารยธรรม แต่ชาวอาหรับยอมรับว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่สมองของชาวกรีกและโรมัน เพราะสองชนชาตินี้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และมีนักปรัชญาหลายคน และประทานพรให้แก่มือของชาวจีน เพราะชาวจีนมีความสามารถทางด้านงานฝีมือซึ่งเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาและผ้าไหม แต่สำหรับชาวอาหรับนั้น พวกเขาทะนงว่าพระเจ้าประทานพรให้แก่ลิ้นของพวกเขา เพราะกวีชาวอาหรับสามารถใช้ภาษาที่สูงส่งและลึกซึ้งไม่มีใครเทียบได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตเพื่อนำคำสอนของพระองค์มาเผยแผ่สั่งสอนแก่มนุษยชาติ ทั้งนี้เพราะชาวอาหรับรู้ดีว่านบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือและคำสอนที่นบีมุฮัมมัดรับมาจากพระเจ้าในรูปของคัมภีร์อัลกุรอานนั้นเป็นภาษาอาหรับที่ชาวอาหรับทะนงยิ่งนัก
แม้บทกวีของชาวอาหรับเป็นภาษาที่เต็มไปด้วยสำนวนโวหารระดับสูง แต่กวีชาวอาหรับต่างยอมรับว่าภาษาของอัลกุรอานไม่ใช่ภาษาอาหรับที่มนุษย์อย่างมุฮัมมัดแต่งขึ้น ยิ่งความหมายของอัลกุรอานด้วยแล้ว มีหลายอย่างที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้และความเข้าใจ ไม่เพียงเท่านั้น คัมภีร์อัลกุรอานยังท้าทายชาวอาหรับผู้ทะนงในภาษาของตัวเองให้รวมหัวกันแต่งข้อความขึ้นมาสักบทหนึ่งให้เหมือนกับอัลกุรอาน แต่จวบจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีกวีหรือนักภาษาศาสตร์ชาวอาหรับคนใดทำได้
คัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานมายังนบีมุฮัมมัดเพื่อเป็นคู่มือและแนวทางการใช้ชีวิตในโลกนี้เพื่อไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัย แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่มนุษย์ไม่เคยเห็นเพราะเมื่อใครผ่านประตูความตายไปแล้ว คนผู้นั้นไม่สามารถกลับมาบอกได้ว่าเป็นอย่างไร ไม่ต่างจากทารกที่คลอดออกมายังโลกนี้แล้วไม่สามารถกลับไปในครรภ์แม่ได้อีก
เมื่อนบีมุฮัมมัดถูกส่งมาบอกมนุษยชาติว่าโลกหน้าซึ่งเป็นโลกแห่งอนาคตมีจริง มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงประทานเรื่องราวของชุมชนมนุษย์ในอดีตหลายพันปีให้แก่นบีมุฮัมมัดมาบอกเล่าแก่ผู้คน และเรื่องราวเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มชนที่มีคัมภีร์ก่อนๆ ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ได้คิดว่าถ้านบีมุฮัมมัดรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ทำไมนบีมุฮัมมัดจะไม่รู้ความจริงในอนาคตหลังความตายที่มนุษย์มองไม่เห็น เพราะทั้งอดีตอันยาวนานและอนาคตอันยาวไกลล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น อยู่ที่ว่ามนุษย์คนใดจะเชื่อคนที่มาบอกหรือไม่
คัมภีร์อัลกุรอานไม่เพียงแต่มีเรื่องราวในอดีตเพื่อบอกมนุษย์ถึงอนาคตเท่านั้น แต่ยังมีข้อความที่ล้ำหน้ากาลเวลาและเป็นหลักฐานท้าทายสติปัญญาของมนุษย์ที่ปฏิเสธความเชื่อในโลกหน้าด้วย
ในคัมภีร์อัลกุรอานมีข้อความตอนหนึ่งว่า “แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูกแล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (อัลกุรอาน 23:14)
ข้อความดังกล่าวถูกประทานเมื่อพันกว่าปีที่แล้วในขณะที่ชาวอาหรับไม่มีความรู้ และสองชาติมหาอำนาจก็ยังไม่เจริญพอที่จะเข้าใจความหมายของคัมภีร์อัลกุรอานข้างต้นเช่นกัน แต่ปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีด้านเอ๊กซเรย์และอุลตราซาวด์ มนุษย์สามารถมองเห็นโลกในครรภ์ได้เพราะทารกมนุษย์มีเนื้อมีหนัง แต่โลกหลังความตายเป็นโลกที่ไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ สามารถมองเห็นได้ เพราะมันเป็นโลกของวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็นแม้มันจะมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว
สุดท้ายจึงอยู่ที่มนุษย์จะตัดสินใจด้วยสติปัญญาของตัวเองว่าจะเชื่อความจริงหรือไม่ว่าโลกหลังความตายมีจริง
credit: บรรจง บินกาซัน
Tags: