มนุษย์เท่าเทียมกันในอิสลาม
คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์อัลกุรอานพูดถึงเรื่องการสร้างมนุษย์ไว้ตรงกันว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจากดินและเมื่อพระเจ้าเป่าวิญญาณเข้าไปในดินนั้น อาดัมคือมนุษย์คนแรกจึงเกิดขึ้น หลังจากนั้น พระองค์ได้สร้างเอวาให้เป็นคู่ครอง และจากนั้นทั้งสองนี้เองที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติทุกเผ่าพันธุ์
ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดระบุได้ว่าอาดัมเป็นคนชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ใด เมื่ออาดัมและเอวาตายไป ร่างของคนทั้งสองก็กลายเป็นดิน มนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของอาดัมก็เช่นกัน
เมื่อลูกหลานของอาดัมมีจำนวนมากขึ้นและกระจัดกระจายไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก การรวมตัวกันเป็นเผ่าจึงเกิดขึ้น แต่ละเผ่ามีอัตลักษณ์และประเพณีของตนเองแตกต่างกัน ความเข้มแข็งของเผ่าขึ้นอยู่จำนวนผู้ชายและความมั่งคั่งของเผ่า ด้วยเหตุนี้ ความภาคภูมิใจในเผ่าจึงทำให้เกิดความรู้สึกว่าเผ่าของตัวเองเหนือกว่าเผ่าที่ด้อยกว่าตน
เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ ความจำเป็นทำให้สมาชิกบางคนในสังคมต้องทำหน้าที่บางอย่างที่สังคมต้องการ เช่น หัวหน้าเผ่า นักรบ นักบวช เป็นต้น นี่เป็นการแบ่งงานตามความสามารถ มิใช่การแบ่งชนชั้นวรรณะ แต่เพราะการทำหน้าที่อยู่เป็นประจำนี้เองทำให้ระบบชนชั้นวรรณะเริ่มก่อตัวขึ้น
ระบบการแบ่งวรรณะที่คนทั่วไปรู้จักกันเกิดขึ้นในอนุทวีปหรืออินเดีย ก่อนพุทธกาล มนุษย์ในอนุทวีปถูกแบ่งออกเป็นสี่วรรณะ คือ วรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร การแบ่งมนุษย์ออกเป็นสี่วรรณะนี้เกิดขึ้นจากผู้รุกรานต่างชาติสร้างขึ้น โดยอาศัยคำสอนทางศาสนามาอ้างเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ในการปกครอง
กฎของการแบ่งวรรณะถือว่ามนุษย์คนใดเกิดในวรรณะใดก็จะเป็นคนในวรรณะนั้นตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน การแต่งงานระหว่างวรรณะถือเป็นที่ต้องห้าม หากใครฝ่าฝืน ลูกที่ออกมาจากการแต่งงานข้ามวรรณะถูกเรียกว่าจัณฑาลที่ถูกถือว่าเป็นสิ่งสกปรก นี่เป็นการแบ่งวรรณะในชนชาติของตัวเอง
แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือมีคนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มชนชาวยิวถือว่าชนชาติของตนเองเหนือกว่าชนชาติอื่น ๆ ชาวยิวถือว่าชนชาติของตัวเองเป็นชนชาติที่พระเจ้าคัดเลือก(Chosen people) และชนชาติยิวเท่านั้นที่จะได้เข้าสวรรค์
ความเชื่อเช่นนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่า “ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากคำตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักก่อนตามที่ชอบพระทัย พระองค์ให้เป็นบุตรโดยพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 1:4-5) แต่ในคัมภีร์ตัลมูดที่นักบวชชาวยิวเขียนขึ้นมาเองนั้น มนุษย์ทั้งหมดที่มิใช่ยิวถูกถือรวมเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่เรียกว่า “โกยิม” (Goyim) และชาวยิวหัวรุนแรงถือว่ามนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวยิวถูกสร้างมาเพื่อรับใช้ชาวยิว
ความทะนงในชนชาติของชาวยิวนี้เองที่ทำให้ชาวยิวไม่พอใจและปฏิเสธนบีมุฮัมมัด เมื่อท่านอ้างตัวว่าท่านเป็นนบีที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ของพวกตน เหตุผลอย่างเดียวก็คือนบีมุฮัมมัดมิใช่ชาวยิว
ด้วยเหตุนี้เองที่อัลลอฮ์จึงได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อให้มนุษย์ทุกชนชาติเข้าใจตราบถึงวันสิ้นโลกว่า :
“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริง เราได้สร้างสูเจ้ามาจากเพศชายและเพศหญิง และหลังจากนั้นเราได้แบ่งสูเจ้าออกเป็นชนชาติและเป็นเผ่าเพื่อที่สูเจ้าทั้งหลายจะได้รู้จักกัน ผู้มีเกียรติที่สุดในทัศนะของพระเจ้าคือผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้ามากที่สุดในหมู่สูเจ้า แน่นอน พระเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน (อัลกุรอาน 49:13)
พิธีฮัจญ์ที่มีผู้คนต่างชนชาติและสีผิวมาชุมนุมกันที่เมืองมักก๊ะฮฺทุกปีเพื่อแสดงความเคารพสักกระพระเจ้าเป็นหลักฐานยืนยันให้ชาวโลกได้เห็นตราบถึงวันสิ้นโลกว่าในอิสลามไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่มีการเหยียดผิวชังพันธุ์ สิ่งเดียวที่ใช้แยกมนุษย์ออกจากกันต่อหน้าพระเจ้าคือ "ความเกรงกลัวพระเจ้า"
ในระหว่างพิธีฮัจญ์อำลาของนบีมุฮัมมัด ท่านได้กล่าวโอวาทแก่ผู้มาทำฮัจญ์กับท่านว่า “ชาวอาหรับไม่ได้เหนือไปกว่าคนที่มิใช่อาหรับ และคนที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่ได้เหนือไปกว่าคนอาหรับ คนขาวไม่ได้เหนือกว่าคนดำและคนดำก็ไม่ได้เหนือไปกว่าคนขาว พวกท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของอาดัมและอาดัมถูกสร้างมาจากดิน”
credit: บรรจง บินกาซัน
Tags: