ตัวเรามิใช่ของเรา ตัวเราเป็นของใคร?
คำสอนของศาสนาสอนมนุษย์มิให้ยึดติดอยู่กับสิ่งถูกสร้างบนโลกใบนี้ รวมถึงตัวของเราเองด้วย เราจึงได้ยินคำพูดที่ว่า “ตัวเรามิใช่ของเรา”
หลายคนเรียนรู้สารพัด แต่ไม่ได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนของศาสนา จึงคิดว่า “ตัวกูเป็นของกู”
คิดผิดตั้งแต่แรกอย่างนี้ การทำผิดตามความคิดก็จะตามมา เพราะถ้าคิดว่า “ตัวกูเป็นของกู กูจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ เรื่องของกู” สิ่งที่ตามมาก็คือ “กูจะทำร้ายทำลายชีวิตอย่างไรก็ได้ เรื่องของกู”
ถ้ามนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกคิดอย่างนี้ โลกเราจะไม่ต่างไปจากป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเดินสองขาที่เรียกว่า “มนุษย์” เพราะถ้าหากมนุษย์ทำร้ายชีวิตอันมีค่าของตัวเองได้เพราะคิดว่าชีวิตเป็นของตัวเอง ทำไมมนุษย์จะทำร้ายหรือทำลายชีวิตของคนอื่นไม่ได้?
ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่างที่แม้แต่สัตว์ไม่ทำ
เราไม่เคยเห็นสัตว์ฆ่าตัวตาย แต่มนุษย์ทำ เราไม่เคยเห็นสัตว์ตัวผู้สมสู่กัน แต่มนุษย์ทำ
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าถ้า “ตัวเรามิใช่ของเรา” แล้ว ตัวเราทั้งร่างกายและวิญญาณเป็นของใคร?
อิสลามให้คำตอบเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า “อินนาลิลลาฮฺ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน” (เราเป็นของอัลลอฮ์และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป)
นี่เป็นถ้อยคำภาษาอาหรับที่คนมุสลิมถูกสั่งสอนให้กล่าวเมื่อประสบเคราะห์กรรม ความสูญเสียหรือความทุกข์ยากลำบากหรือได้ยินข่าวการตาย
คำกล่าวนี้เตือนมนุษย์ผู้ศรัทธาให้รู้ว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า ดังนั้น พระองค์จะทำอะไรกับเราอย่างไรก็ได้ เหมือนกับที่เราเป็นเจ้าของอะไรบางอย่างและเรามีสิทธิ์จะทำอะไรกับสิ่งนั้นก็ได้ไม่ว่าจะเอาไปเผาไฟหรือโยนทิ้ง ให้คนอื่นหรือขายต่อ
การยอมรับความประสงค์ของพระเจ้าและความจริงของชีวิตจึงทำให้ใจสงบและไม่ทำให้ทุกข์บานปลายขยายไปถึงคนอื่น
กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นกฎที่พระเจ้าสร้างไว้เพื่อเตือนมนุษย์ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองทั้งร่างกายและวิญญาณ
ถ้ามนุษย์เป็นเจ้าของชีวิต คงไม่มีมนุษย์คนใดอยากแก่ อยากเจ็บป่วยและตาย แต่มนุษย์ไม่สามารถหนีพ้นกฎดังกล่าวได้
คนไม่รู้ความจริงของชีวิตเวลาเจ็บป่วยจึงเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจซึ่งทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรือคิดมากจนเกิดโรคประสาทเพิ่มและสร้างความรำคาญให้แก่ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดที่คอยดูแล สุดท้าย บางรายทนทุกข์ไม่ไหวก็ฆ่าตัวตาย
คำสอนของอิสลามสอนมนุษย์ให้ปรับทัศนคติของตัวเองยามประสบทุกข์ ว่าเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮ์ที่ต้องยอมรับหรือยอมจำนน เพราะอัลลอฮ์มีวัตถุประสงค์เสมอในสิ่งที่พระองค์ทรงให้บังเกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเตือนมนุษย์ว่า
1. ตัวเรามิใช่ของเรา และเราอ่อนแอจนพ่ายแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ และแม้แต่เชื้อโรคตัวเล็ก ๆ
2. อัลลอฮ์เป็นผู้ให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์คิดค้นยารักษา นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ไม่มีโรคใดที่อัลลอฮ์ให้เกิดขึ้นแล้วไม่มียารักษานอกจากความตาย”
3. การเจ็บไข้ได้ป่วยของใครบางคนจนต้องนอนพักบนเตียงอาจทำให้คนผู้นั้นได้ออกห่างจากความชั่วบางอย่างและมีโอกาสได้คิดทบทวนถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาหลังจากไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ นี่คือความเมตตาของอัลลอฮ์
4. มนุษย์ถูกสร้างมาในสภาพอ่อนแอ จึงไม่มีมนุษย์คนใดแม้แต่ผู้ศรัทธาในพระเจ้าไม่เคยทำความผิดบาปที่จะต้องถูกลงโทษ ในอิสลามจึงมีคำสอนว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาและผู้ทรงให้อภัย การเจ็บป่วยบางครั้งจึงเป็นการลบล้างบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ศรัทธาได้ทำไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปถูกลงโทษในโลกหน้าที่หนักหนาสาหัสและยาวนานกว่า
5. ความอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเคราะห์กรรมคือการยอมรับพระประสงค์ของอัลลอฮ์ ถือเป็นการปฏิบัติคุณธรรมแห่งความอดทนซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นสูง และคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า “อัลลอฮ์จะอยู่กับผู้อดทน”
credit: บรรจง บินกาซัน
Tags: