จริงหรือ..อัลลอฮ์ไม่ได้เหลียวแลหรือทอดทิ้งโลกใบนี้
ถ้าชายคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงานและสร้างบ้านเพื่อสมาชิกในครอบครัว เขาต้องรู้โดยสัญชาติญาณว่าเขาจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบติดตามมา เพราะหลังแต่งงาน มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเขาในการหาปัจจัยเลี้ยงดูภรรยาและปกป้องสมาชิกในครอบครัว เมื่อเขามีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ เขาจึงต้องได้รับสิทธิในการเชื่อฟังเพื่อที่ครอบครัวจะอยู่อย่างสงบและร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสมาชิกในครอบครัวของเขาถูกรังแก เขามีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเขา
หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของ “พ่อบ้าน” ในภาษาอาหรับเรียกผู้ทำหน้าที่นี้ว่า “ร็อบบุลบัยต์”
หน้าที่นี้เป็นตัวอย่างที่สื่อให้เห็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพระเจ้าผู้สร้างครอบครัวจักรวาล(อัลลอฮ์)ที่ประกอบด้วยดาวนับแสนล้านดวงซึ่งในจำนวนนี้มีโลกเราเป็นดาวเล็กๆ ดวงหนึ่ง ดังนั้น พระเจ้า(อัลลอฮ์)จึงประกาศว่าพระองค์เป็น “ร็อบบุล อาละมีน” หรือ “ผู้อภิบาลโลกทั้งหลาย” ที่พระองค์ทรงสร้างมา ดังนั้น พระองค์จึงมีหน้าที่จัดเตรียมปัจจัยยังชีพและให้ความคุ้มครองสิ่งที่พระองค์สร้างมา
ความเสียหาย ความปั่นป่วนวุ่นวาย และความอธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์บางกลุ่มตั้งตัวเป็นใหญ่และถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต่างอะไรไปจากฟาโรห์ในอียิปต์เมื่อหลายพันปีก่อนที่หลงลืมตัวเองจนลืมพระเจ้าที่แท้จริง
บางคนอาจคิดว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลขึ้นมาอย่างไร้วัตถุประสงค์และปล่อยให้สรรพสิ่งเป็นไปตามยถากรรม โดยที่พระองค์ไม่ได้เหลียวแลหรือทำหน้าที่ “พระผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย” อีกต่อไปแล้ว คนที่คิดเช่นนี้จึงย่ามใจข่มเหงรังแกมนุษย์ผู้อ่อนแอที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
การที่ความไม่เป็นธรรม ความปั่นป่วนวุ่นวายเสียหายยังคงเกิดขึ้นมิได้หมายความว่า พระเจ้าทอดทิ้งมนุษย์ แต่พระองค์มีแบบแผนในการจัดการกับมนุษย์ ไม่ต่างไปจากตำรวจที่ปล่อยให้คนร้ายชะล่าใจสะสมอาชญากรรมจนถูกลงโทษอย่างสาสม และขณะเดียวกันก็เพื่อดูว่าผู้ถูกกดขี่ยังศรัทธาพระองค์หรือไม่
หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าจะให้บางชุมชนหรือบางชนชาติมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและมีอำนาจทางวัตถุ แต่ผู้นำของชนชาตินั้นเกิดความย่ามใจจนละเมิดขอบเขตศีลธรรมและกดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอ ดังนั้น พระเจ้าจึงคัดเลือกคนในชนชาตินั้นขึ้นมาตักเตือน แต่ผู้ตักเตือนนั้นกลับถูกต่อต้านและไม่ได้รับการเชื่อฟัง ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ประทานปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่ผู้ตักเตือนเพื่อให้ผู้ก่อความเสียหายได้ตรึกตรองและกลับใจ แต่เมื่อเห็นอำนาจเหนือธรรมชาติด้วยตาตัวเองแล้ว ผู้มีอำนาจที่อธรรมไม่ยอมกลับใจและยังฝ่าฝืน การทำลายล้างจึงเกิดขึ้น
กรณีของฟาโรห์กับโมเสสเป็นตัวอย่างแบบแผนของพระเจ้าในการทำลายฟาโรห์และอาณาจักรไอยคุปต์อันยิ่งใหญ่ในอดีต
ปัจจุบัน ไม่มีนบีที่พระเจ้าส่งมาตักเตือนมนุษย์อีกแล้ว เพราะนบีคนสุดท้ายที่พระองค์ส่งมาตักเตือนมนุษย์คือ นบีมุฮัมมัด ที่จากโลกนี้ไปเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน แต่คำตักเตือนของท่านและนบีคนอื่นๆ ยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่พระเจ้าปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์ก็พอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีและอะไรชั่ว หากมนุษย์ยังฝ่าฝืนกฎทางศีลธรรมของพระเจ้า ความหายนะก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางที ภาวะภัยแล้ง อุทกภัยรุนแรง ไฟไหม้ป่า คลื่นความร้อน พายุรุนแรง และหายนะภัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของโลก อาจเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทำลายล้างชนชาติหรือมหาอำนาจที่อหังการหรืออาจทำลายโลกที่แก่ชราและเต็มไปด้วยโรคใบนี้ทั้งหมดก็ได้
credit: บรรจง บินกาซัน
Tags: