ทำไมจึงต้องท่องบทสวดมนต์ ซ้ำๆ ซากๆ
ชื่อเรื่องของบทความนี้เป็นหนึ่งในคำถามจากเด็กรุ่นใหม่ที่หลงใหลวิทยาการตะวันตก เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้เข้าใจศาสนาอย่างผิวเผินจากสิ่งที่ตัวเองมองเห็น บางคนจึงมองศาสนาว่าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนบางกลุ่ม หรือเป็นเรื่องของความเชื่อที่ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ ก่อนหน้านี้ ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถือว่าศาสนาเป็นยาเสพติด
เนื่องจากทุกศาสนามีภาษาของตัวเองและใช้ภาษาทางศาสนาในการปฏิบัติพิธีกรรม เด็กรุ่นใหม่จึงไม่อยากท่องบทสวดมนต์เพราะไม่รู้ความหมาย ยิ่งมองเห็นบุคลากรทางศาสนาทำผิดศีลธรรมที่สามัญสำนึกของแต่ละคนรับรู้ได้ ปกหนังสือที่น่าเกลียดจึงทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากอ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างใน
ศาสนาพิธีกรรมให้ศาสนิกปฏิบัติ มีบทสวดมนต์ให้ศาสนิกท่อง ถ้าใครเข้าใจจะมองเห็นคุณค่าและความดีงามของศาสนา ในอิสลามมีคำสอนของนบีมุฮัมมัดว่า “ใครที่พระเจ้าประสงค์จะให้ความดีแก่เขา พระองค์จะให้เขาเข้าใจศาสนา”
ผมตอบคนถามคำถามที่เป็นชื่อเรื่องของบทความนี้โดยการถามกลับไปว่า 12 คูณ 12 ได้เท่าไหร่ เขาตอบผมทันทีว่า 144 ผมถามต่อไปว่าเขารู้ได้อย่างไร เขาตอบว่าเขาท่องมาตั้งแต่เป็นนักเรียนประถม ได้ทีตรงนี้ ผมก็บอกเขาไปว่าแม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ เราก็ต้องอาศัยการท่องจำและกว่าจะจำได้ก็ต้องท่องซ้ำแล้วซ้ำอีก การท่องจำจึงเป็นวิธีการเก็บผลลัพธ์ไว้ในสมองหรือในใจ ใครถามขึ้นมาเมื่อใดก็ตอบได้ทันที
อิสลามเป็นเรื่องความสัมพันธ์สองแนว คือ แนวดิ่ง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า(อัลลอฮ์) แนวระนาบ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งรอบตัวเขาทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต อิสลามเชื่อว่าถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า มนุษย์ก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขา
แม้อิสลามจะมีตัวบทกฎหมายที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกด้านและมีบทลงโทษผู้ทำผิด แต่อิสลามต้องการให้มนุษย์ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยความสมัครใจหรือด้วยความศรัทธา
แต่การจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าได้นั้นจำเป็นต้องมีวิธีการเตือนให้มุสลิมทุกคนระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมในอิสลามจึงกำหนดให้มุสลิมทุกคนต้องละหมาดวันละ 5 เวลา เพราะการละหมาดเป็นการระลึกถึงพระเจ้าและการระลึกถึงพระเจ้าทำให้จิตใจสงบ เป็นการสร้างความตระหนักว่าพระเจ้าเฝ้าดูมนุษย์อยู่เสมอ จึงไม่กล้าทำความชั่วเพราะกลัวว่าพระเจ้าจะเห็น นี่คือมาตรการควบคุมทางด้านวิญญาณที่เป็นผู้บงการการกระทำของมนุษย์ซึ่งระบบกฎหมายสมัยใหม่ไม่มี
การละหมาดเป็นศาสนกิจภาคบังคับที่มีรูปแบบ เวลา คำอ่านเป็นการเฉพาะ เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทุกคน การละทิ้งหน้าที่นี้เป็นบาปไม่ต่างไปจากการหนีเวรของทหารที่มีความผิดทางวินัย แม้ไม่ได้ฆ่าใครก็จริง แต่ถ้าทหารส่วนใหญ่ไร้วินัยในกองทัพ ความวิบัติก็อาจเกิดขึ้นกับประเทศชาติได้
เมื่อละหมาดเสร็จ มุสลิมได้รับคำแนะนำให้กล่าวคำระลึกถึงพระเจ้า(ซิกรุลลอฮฺ) เหมือนท่องสูตรคูณด้วยการกล่าวว่า “ซุบฮานัลลอฮฺ” (มหาบริสุทธิ์ยิ่งคือพระเจ้า) 33 ครั้งเพื่อเตือนว่าตัวเองอาจมีความบกพร่องและทำผิดบ้างเช่นเดียวกับคนอื่น กล่าว “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ” (บรรดาการสรรเสริญเป็นของพระเจ้า) 33 ครั้ง เพื่อเตือนตัวเองให้เอาคำยกย่องเยินยอทั้งหลายที่ตัวเองได้รับให้แก่พระเจ้า จะได้ไม่หลงอยู่ในคำเยินยอ กล่าว “อัลลอฮุอักบัรฺ” (อัลลอฮฺยิ่งใหญ่ที่สุด) 33 ครั้ง เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าได้อวดใหญ่อหังการต่อพระเจ้า
ถ้อยคำแห่งการระลึกถึงพระเจ้า(อัลลอฮ์)ดังกล่าวนี้ ถูกท่องจนฝังอยู่ในใจ เมื่อเกิดความตกใจ คำระลึกถึงพระเจ้าจะกระเด้งจากใจออกมาเป็นคำอุทานแทนคำสบถหรือคำหยาบคาย
นอกจากการละหมาดที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับพระเจ้าแล้ว การระลึกถึงพระเจ้ายังสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถของการดำเนินชีวิตนอกเวลาละหมาด เช่น ก่อนกินข้าว มุสลิมจะล้างมือตามคำสอนของนบีมุฮัมมัด การทำตามคำสอนของนบีมุฮัมมัดเท่ากับทำตามพระเจ้าซึ่งได้รับผลบุญตอบแทน สุขอนามัยจากการล้างมือเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา ก่อนเอาข้าวใส่ปากหรือดื่มน้ำ มุสลิมจะระลึกถึงพระเจ้าที่ให้อาหารด้วยการกล่าว “บิสมิลลาฮฺ” (ด้วยพระนามของพระเจ้า) เมื่อกินอาหารเสร็จ มุสลิมจะกล่าวคำว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ” เป็นการขอบคุณพระเจ้า
การกล่าวคำระลึกถึงพระเจ้า(อัลลอฮ์)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า และทุกถ้อยคำที่กล่าวออกไป ความเชื่อในพระเจ้าจะยิ่งฝังใจและได้รับผลบุญเป็นรางวัลตอบแทน
credit: บรรจง บินกาซัน
Tags: