รู้หรือไม่? กฎหมายชารีอะห์ เป็นการป้องปรามมากกว่าลงโทษ
กฎหมายชารีอะห์คืออะไร
ชารีอะห์ (Sharia / Shariah) คือระบบยุติธรรมของศาสนาอิสลาม ซึ่งอิงกับคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอ่าน รวมทั้งเนื้อหาของซุนนะห์ (Sunnah) และฮะดีษ (Hadith) ซึ่งเป็นบันทึกคำพูดและการกระทำของศาสดามูฮัมหมัด
ชารีอะห์มีความหมายตรงตามตัวอักษรว่า “หนทางไปสู่แหล่งน้ำที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งมีผู้คนมากมายเดินย่ำไป” กฎหมายชารีอะห์ทำหน้าที่เป็นกรอบกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิต ซึ่งมุสลิมทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า โดยสิ่งเหล่านี้รวมถึงกฎเกณฑ์ในการละหมาด การถือศีลอด และการบริจาคทานให้คนยากไร้
หากไม่สามารถหาคำตอบในการตัดสินคดีความต่าง ๆ จากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และบันทึกทางศาสนาโดยตรงได้ ผู้รู้ชาวมุสลิมอาจมีคำวินิจฉัยหรือฟัตวา (Fatwa) ออกมา เพื่อเป็นแนวทางสำหรับกรณีหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ
ชารีอะห์เมื่อนำไปปฏิบัติจริงเป็นอย่างไร
กฎหมายชารีอะห์ถูกใช้เป็นหลักอ้างอิงในการดำเนินชีวิตประจำวันของมุสลิมทุกแง่มุม เช่นเมื่อเพื่อนร่วมงานชวนมุสลิมผู้หนึ่งไปหย่อนใจกันที่ผับหลังเลิกงาน เขาสามารถขอคำปรึกษาจากผู้รู้ทางศาสนาที่เชี่ยวชาญกฎหมายชารีอะห์ได้ เพื่อให้ทราบว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เหมาะสมและอยู่ภายในขอบเขตคำสอนของอิสลาม
ประเด็นยอดนิยมที่มุสลิมใช้กฎหมายชารีอะห์เพื่อตัดสินปัญหาหรือคดีความ ยังได้แก่เรื่องความขัดแย้งในครอบครัว การเงิน และธุรกิจ ซึ่งในแต่ละประเทศหรือชุมชนแต่ละแห่ง มีการตีความเพื่อบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์โดยมีความเข้มงวดมากน้อยแตกต่างกันไป
บทลงโทษโหดร้ายเกินไปหรือไม่
กฎหมายชารีอะห์แบ่งการลงโทษออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ฮุดูด (Hudud / Hadd) หรืออาชญากรรมที่มีโทษสถานหนัก ซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษที่ตายตัวไว้อยู่แล้ว รวมทั้งอาชญากรรมแบบตาซีร์ (Tazir) ซึ่งบทลงโทษนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้พิพากษาเป็นหลัก
อาชญากรรมที่มีโทษสถานหนักยังรวมถึงการลักขโมย โดยโทษสูงสุดที่ผู้กระทำผิดอาจถูกผู้พิพากษาศาลชารีอะห์สั่งลงทัณฑ์ได้นั้นคือการตัดมือ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ศาลชารีอะห์พิจารณาลงโทษสถานหนักนั้น จะต้องผ่านการทบทวนหลายขั้นตอนเพื่อป้องกันความผิดพลาด และจะต้องมีพยานหลักฐานมายืนยันความผิดอย่างแน่นหนา
Tags: