ภัยพิบัติในยุคโมเสส สะท้อนปัจจุบัน
ไม่มีชาวยิว ชาวคริสเตียนและมุสลิมคนใดที่ไม่รู้จักโมเสสหรือมูซา ทั้งนี้เพราะเรื่องราวของโมเสสมีกล่าวไว้ทั้งในในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เรื่องราวของโมเสสถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ในชื่อบัญญัติ 10 ประการเมื่อกว่า 60 ปีก่อนและยังเป็นภาพยนตร์อมตะมาจนถึงทุกวันนี้
โมเสสเกิดในครอบครัวอิสราเอลที่ตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของฟาโรห์กษัตริย์ชาวกิปตีย์หรือชาวอียิปต์พื้นเมืองในเวลานั้น แม้เขาจะถูกเลี้ยงและเติบโตในวังของฟาโรห์ แต่เมื่อเขาเข้าไปช่วยชาวอิสราเอลที่กำลังทะเลาะกับชาวกิปตีย์จนเป็นเหตุให้ชาวกิปตีย์เสียชีวิต โมเสสจึงต้องหนีออกจากอียิปต์ไปอยู่ที่แผ่นดินมัดยันและมีครอบครัวที่นั่น
ต่อมา โมเสสคิดถึงครอบครัวที่อียิปต์ เขาจึงเดินทางกลับไปยังอียิปต์ คืนหนึ่ง ระหว่างทาง เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีเมื่อเขาได้พบพระเจ้าที่หุบเขาฏุวาเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง และเพื่อให้เขาแน่ใจในตำแหน่งนบีของเขา พระเจ้าได้ให้เขาโยนไม้เท้าที่เขาถือลงไปบนพื้น เมื่อโมเสสทำตาม ไม้เท้าของเขาได้กลายเป็นงูและงูได้กลายเป็นไม้เท้าอีกครั้งเมื่อเขาจับมันขึ้นมา
เท่านั้นยังไม่พอ พระเจ้าได้สั่งให้โมเสสล้วงมือของเขาเข้าไปในอกเสื้อ เมื่อเขาดึงมือออกมา มือของเขามีแสงขาวสว่างเหมือนไฟนีออนโดยที่มือของเขาไม่ร้อน
ปาฏิหาริย์สองอย่างที่พระเจ้ามอบให้เขาเป็นเหมือนประกาศนียบัตรแต่งตั้งเขาเป็นนบีของพระองค์ และภารกิจสำคัญของเขาคือการไปบอกให้ฟาโรห์เลิกตั้งตัวเป็นพระเจ้าและปล่อยลูกหลานอิสราเอลให้เป็นอิสระ
ยุคนั้น อียิปต์เป็นแผ่นดินมหาอำนาจของโลกและฟาโรห์เป็นกษัตริย์ของอียิปต์ ฟาโรห์จึงถือว่าเขาเป็นพระเจ้าและประชาชนต้องเคารพสักการะเขาที่มีสถานะเป็นพระเจ้า ฟาโรห์มีแสนยานุภาพที่ยิ่งใหญ่ทางทหาร แต่พระเจ้าได้ใช้โมเสสให้ทำหน้าที่ที่แทบเป็นไปไม่ได้และมีไม้เท้าเพียงอันเดียว
แต่เมื่อได้รับมอบหน้าที่จากพระเจ้าแล้ว โมเสสต้องปฏิบัติและพระเจ้าสัญญาว่าจะช่วยเขา
โมเสสเข้าไปหาฟาโรห์และทำตามที่พระเจ้าสั่ง แต่ฟาโรห์ปฏิเสธและหัวเราะเยาะ แม้โมเสสจะโยนไม้เท้าลงไปกลายเป็นงูเพื่อเป็นหลักฐานว่านี่คืออำนาจของพระเจ้า แต่ฟาโรห์ไม่เชื่อ มิหนำซ้ำยังเย้ยหยันโมเสสด้วยการสั่งฮามานเสนาบดีของเขาให้สร้างหอคอยเพื่อที่เขาจะได้ไปพบพระเจ้าของโมเสส
เมื่อโมเสสเตือนดีๆ ไม่เชื่อ พระเจ้าได้ให้แผ่นดินอียิปต์ประสบภัยพิบัติสารพัด เริ่มตั้งแต่น้ำในแม่น้ำไนล์เอ่อท่วมผืนดินจนเพาะปลูกไม่ได้ ฟาโรห์จึงส่งคนมาขอให้โมเสสวิงวอนต่อพระเจ้าให้ภัยพิบัติหมดไปและสัญญาว่าจะหันไปเคารพสักการะพระเจ้า แต่เมื่อโมเสสวิงวอนพระเจ้าและภัยพิบัติหมดไป ฟาโรห์และชาวอียิปต์ก็ไม่ทำตามสัญญา
คัมภีร์อัลกุรอานเล่าว่าหลังจากนั้น แผ่นดินอียิปต์ได้เกิดภัยพิบัติเป็นระลอก เช่น การระบาดทั่วแผ่นดินของฝูงตั๊กแตน หมัด กบและแม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือด เมื่อภัยพิบัติแต่ละอย่างเกิดขึ้น คนของฟาโรห์จะมาขอให้โมเสสวิงวอนต่อพระเจ้าและให้สัญญาเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ก็ผิดสัญญาทุกครั้ง
ในที่สุด ฟาโรห์ก็ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถเมื่อพระเจ้าให้เขาต้องจมน้ำตายกลางทะเลทั้งที่เขาเห็นปรากฏการณ์น้ำทะเลแหวกซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้าด้วยตาตัวเองแล้ว
ปรากฏการณ์โรค COVID-19 ที่ระบาดไปทั่วโลกขณะนี้ทำให้นึกถึงภัยพิบัติในยุคโมเสส แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นจำกัดวงแค่ในแผ่นอียิปต์และผู้คนแค่เดือดร้อน ไม่ถึงขั้นล้มตาย ในขณะที่ไวรัสโคโรนาระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วตามยุคดิจิทัลและมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ในตอนนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าไวรัสโคโรนามีสาเหตุมาจากสัตว์ เช่น ค้างคาวหรือเป็นแผนการโจมตีจีนด้วยอาวุธชีวภาพของมหาอำนาจชาติคู่แข่ง แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้ให้ข้อสรุปถึงสาเหตุของการรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรต่างๆ ว่าเป็นไปตามแบบแผนของพระเจ้าดังนี้
พระเจ้าจะให้คนกลุ่มหนึ่งหรือชาติหนึ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจากที่ไม่มีอะไรและพระองค์จะประทานปัจจัยทุกอย่างให้แก่คนกลุ่มนั้นอย่างเต็มที่เพื่อดูว่าผู้คนจะอยู่ในกรอบศีลธรรมหรือไม่ ถ้าผู้คนละเมิดกรอบของศีลธรรม สร้างความไม่เป็นธรรมและความเสียหายขึ้นในแผ่นดิน พระองค์จะส่งคนมาตักเตือนก่อน เมื่อไม่เชื่อและยังละเมิดขอบเขตทุกอย่าง พระเจ้าจะแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเป็นการส่งสัญญาณเตือนโดยตรง และเมื่อเห็นแล้วยังไม่เชื่อหรือสำนึกผิดอีก พระเจ้าก็จะทำลายชาตินั้นด้วยพระองค์เองในที่สุด
ที่มา: อาจารย์บรรจง บินกาซัน
Tags: