คำสัญญาที่ถูกทวงถามจากอัลลอฮฺ
ทุกศาสนามีความเชื่อร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะความเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นคือความศรัทธาที่เป็นพื้นฐานของทุกศาสนา
ในอิสลาม สิ่งที่มองไม่เห็นที่มุสลิมถูกกำหนดให้ต้องศรัทธาคือ พระเจ้า นรก สวรรค์ มลาอิก๊ะฮฺ(ทูตสวรรค์) ญิน และวิญญาณ
แม้บางสิ่งที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าได้ให้ข้อมูลบางอย่างไว้เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ เช่น มลาอิก๊ะฮฺ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างจากแสงสว่าง มีปีก ไม่กินไม่ดื่ม ไม่มีความต้องการทางเพศ มีจำนวนมากมายสุดคณานับ ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าโดยไม่ฝ่าฝืน มลาอิก๊ะฮฺที่มีชื่อว่าญิบรีล(กาเบรียล)ทำหน้าที่นำวจนะของพระเจ้ามายังนบีเพื่อให้นบีนำไปสั่งสอนผู้คน มลาอิก๊ะฮฺบางองค์ทำหน้าที่เอาวิญญาณของมนุษย์ เป็นต้น
มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นมลาอิก๊ะฮฺ แต่มลาอิก๊ะฮฺสามารถมองเห็นมนุษย์
ญิน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างจากไฟ ญินถูกส่งมายังโลกนี้พร้อมกับมนุษย์ ญินสามารถมองเห็นมนุษย์ แต่มนุษย์มองไม่เห็นมัน ญินมีการแพร่พันธุ์บนโลกใบนี้เหมือนกับมนุษย์ ดังนั้น ญินจึงมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย ญินมีทั้งดีและชั่ว ญินชั่วถูกเรียกว่าชัยฏอนหรือซาตาน
มลาอิก๊ะฮฺสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ และญินสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สี่เท้าได้
เป็นเรื่องน่าแปลกที่คัมภีร์กุรอานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับทั้งสองว่าถูกสร้างมาจากอะไร แต่ในเรื่องวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งเร้นลับและมนุษย์เชื่อว่ามีอยู่ คัมภีร์กุรอานกลับไม่ให้ข้อมูลในเรื่องนี้
มนุษย์อยากรู้ว่าวิญญาณถูกสร้างมาจากอะไรและพยายามหาคำตอบมานานแล้ว แม้ในสมัยของนบีมุฮัมมัด มีชาวอาหรับถามท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ท่านได้ตอบว่าความรู้เรื่องวิญญาณอยู่ที่พระเจ้า ท่านมีความรู้เท่าที่พระเจ้าให้มาเท่านั้น ดังนั้น จนทุกวันนี้ มนุษย์จึงมีความรู้เรื่องวิญญาณเพียงน้อยนิด
แต่สิ่งที่คัมภีร์กุรอานพยายามบอกมนุษย์ก็คือวิญญาณเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำให้มนุษย์มีชีวิตขึ้นมา วิญญาณจึงเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ หากปราศจากวิญญาณ มนุษย์ก็ไร้ชีวิต และในฐานะที่วิญญาณอาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ในฐานะผู้บงการ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณต้องเป็นผู้รับผิดชอบในสิ่งที่มันบงการมนุษย์ในตอนที่อยู่ในโลกนี้
ความตายจึงมิใช่การสิ้นสุดชีวิต แต่ความตายเหมือนกับการคลอดจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่งเช่นเดียวกับที่มนุษย์คลอดออกจากครรภ์มารดามาสู่โลกนี้ ความตายจึงเป็นการคลอดของวิญญาณจากครรภ์แห่งโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ความแตกต่างอยู่ที่ตอนคลอดออกมาจากครรภ์มารดา วิญญาณมีเนื้อหนังออกมาด้วย แต่การคลอดตอนหมดลมหายใจสุดท้าย วิญญาณไม่ได้เอาสังขารไปด้วยเท่านั้นเอง
คัมภีร์กุรอานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณมนุษย์ไว้ว่าวิญญาณมีจำนวนมากมายมหาศาลจนไม่อาจนับได้ ก่อนที่วิญญาณทั้งหมดจะถูกส่งมายังโลกนี้ พระเจ้าได้ถามดวงวิญญาณว่าพระองค์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวใช่ไหม ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างตอบรับ ดังนั้น ชะตากรรมของดวงวิญญาณจึงอยู่ที่การยอมรับพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์ การเคารพกราบไหว้ การวิงวอนหรือบนบานอธิษฐานต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้าจึงเป็นการผิดสัญญาที่วิญญาณทำไว้กับพระองค์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีทารกเกิดใหม่ นบีมุฮัมมัดจึงสั่งให้ผู้เป็นพ่อของเด็กหรือใครบางคนกล่าวนามพระเจ้าข้างหูของทารกเพื่อเตือนย้ำวิญญาณในร่างทารกให้รู้ว่าอย่าลืมคำสัญญาที่ทำไว้กับพระเจ้าก่อนที่จะมายังโลกนี้ เมื่อโตขึ้น คำยืนยันว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ” จะถูกกล่าวทวนทุกครั้งในการละหมาด
ก่อนตาย สิ่งที่มุสลิมต้องการกล่าวมากที่สุดคือ ถ้อยคำยืนยันดังกล่าวหากยังรู้สึกตัว และหากไม่รู้สึกตัว ญาติพี่น้องหรือผู้มาเยี่ยมจะช่วยกันกล่าวถ้อยคำยืนยันดังกล่าวโดยหวังว่าวิญญาณของผู้ใกล้ตายจะรับรู้และยอมรับ
ในขณะที่ฝังศพ ผู้ที่อยู่รอบหลุมศพจะกล่าวคำวิงวอนรอบหลุมศพด้วยความหมายดังต่อไปนี้ว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้เขามั่นคงด้วยถ้อยคำอันหนักแน่นที่เขายืนยันในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด” เพราะถ้อยคำยืนยันนี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินชะตากรรมของดวงวิญญาณในโลกหลังความตาย
ที่มา : บรรจง บินกาซัน
Tags: