ผู้ไม่รู้หนังสือ แต่รู้...อนาคต
ไม่มีใครที่เรียนประวัติศาสตร์โลกแล้วไม่รู้จักอาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซีย สองมหาอาณาจักรนี้ที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตนานนับพันปีและต่างทำสงครามสู้รบกันเพื่อแย่งชิงดินแดนยุทธศาสตร์ที่เรียกว่าชามซึ่งเป็นแคว้นที่ประกอบด้วยซีเรีย ปาเลสไตน์ จอร์แดนและเลบานอน
เนื่องจากแคว้นชามเป็นชุมทางการค้าของชาวอาหรับ การต่อสู้กันของสองมหาอาณาจักรจึงเป็นเหมือนมวยคู่เอกสำหรับชาวอาหรับที่เชียร์อาณาจักรเปอร์เซียเพราะความเชื่อที่คล้ายๆกัน ในเวลานั้น อาณาจักรเปอร์เซียนับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์ที่บูชาไฟ ชาวอาหรับบูชารูปปั้น
ส่วนอาณาจักรไบแซนตินนับถือศาสนาคริสต์ที่ห้ามเคารพรูปปั้น ชาวอาหรับจึงไม่ชอบความเชื่อของชาวไบแซนติน
ค.ศ.610 ซึ่งเป็นปีที่นบีมุฮัมมัดเริ่มปฏิบัติภารกิจเผยแผ่อิสลาม สองมหาอาณาจักรเริ่มเตรียมกำลังประจัญหน้ากัน
ค.ศ.614 กองทัพอาณาจักรเปอร์เซียสามารถยึดเมืองเยรูซาเล็มได้และสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้แก่โลกคริสเตียน เพราะเยรูซาเล็มเป็นเมืองสำคัญทางศาสนาของชาวคริสเตียนและชาวยิว ชาวคริสเตียนเกือบแสนคนถูกฆ่า แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ไม้กางเขนดั้งเดิมซึ่งชาวคริสเตียนเชื่อว่าเป็นไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซูถูกยึดและย้ายไปที่อื่น โบสถ์สำคัญหลายแห่งในเมืองถูกทำลาย
ชัยชนะครั้งนั้นทำให้คุสโร ปาร์เวซ จักรพรรดิ์เปอร์เซียเกิดความลำพองใจจนถึงขนาดเขียนจดหมายไปถึงเฮราคลิอุส แม่ทัพฝีมือดีที่จักรพรรดิ์โรมันในกรุงคอนสแตนติโนเปิลส่งเขามาปกครองแคว้นชามด้วยสำนวนที่เย้ยหยันดูถูก จดหมายมีใจความดังนี้
“จากคุสโร ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งบรรดาเทพเจ้าทั้งหมด ผู้เป็นนายของโลกทั้งหมด ถึงเฮราคลิอุส บ่าวผู้ย่อยยับและโง่ที่สุด ท่านกล่าวว่าท่านไว้วางใจในพระเจ้าของท่าน แล้วทำไมพระเจ้าของท่านจึงไม่รักษาเมืองเยรูซาเล็มไว้ให้พ้นจากฉัน”
เมื่ออาณาจักรเปอร์เซียยึดครองเมืองเยรูซาเล็มไว้ได้ ชาวอาหรับที่เคารพบูชารูปปั้นต่างพากันดีใจ แต่ก่อนการรบขั้นเด็ดขาดของอาณาจักรเปอร์เซียจะเกิดขึ้น นบีมุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือได้นำข้อความในคัมภีร์กุรอานมาประกาศในเมืองมักก๊ะฮฺว่า...
“พวกโรมันได้ถูกพิชิตแล้วในแผ่นดินใกล้ๆ แต่หลังจากความพ่ายแพ้ อีกไม่นาน พวกเขาจะได้รับชัยชนะภายในเวลาไม่กี่ปี” (กุรอาน 30:2-3)
เมื่อได้ยินข้อความดังกล่าว ชาวอาหรับที่ดีใจกับชัยชนะของอาณาจักรเปอร์เซียต่างพากันหัวเราะเยาะมุสลิม เพราะแสนยานุภาพทางทหารของอาณาจักรเปอร์เซียในเวลานั้นไม่เปิดโอกาสให้ใครคิดเช่นนั้นได้ ดังนั้น ชาวอาหรับที่เคารพบูชารูปปั้นจึงท้าพนันสาวกของนบีมุฮัมมัดว่าเป็นไปไม่ได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว นบีมุฮัมมัดจึงบอกสาวกของท่านให้เพิ่มเงินเดิมพันเข้าไปอีก
ใน ค.ศ.624 อาณาจักรไบแซนตินสามารถเอาชนะอาณาจักรเปอร์เซียและยึดเมืองเยรูซาเล็มกลับคืนมาได้ ในการพิชิตครั้งนี้ วิหารบูชาไฟของอาณาจักรเปอร์เซียได้ถูกทำลายลง และในปีเดียวกันนี้เอง มุสลิมได้สร้างความปราชัยให้แก่ชาวมักก๊ะฮฺที่บุกมาโจมตีเมืองมะดีนะฮฺในสมรภูมิบะดัรฺ
หลังจากนั้น ใน ค.ศ.628 ขณะที่สองมหาอำนาจต่างเลียแผลสงครามกันอยู่ นบีมุฮัมมัดได้ลงนามทำสัญญาสันติภาพสิบปีกับชาวเมืองมักก๊ะฮฺ ในช่วงเวลาสงบศึกนี้เอง นบีมุฮัมมัดได้ให้คนนำจดหมายเชิญชวนเฮราคลีอุส จักรพรรดิไบแซนตินและคุสโร ปาร์เวซ จักรพรรดิเปอร์เซียมาสู่อิสลาม
เฮราคลีอุสอ่านจดหมายเชิญชวนของนบีมุฮัมมัดและมีแนวโน้มที่จะตอบรับ แต่พวกขุนนางและขุนศึกแสดงความไม่พอใจ เขาจึงต้องเก็บความรู้สึกไว้ ส่วนคุสโร ปาร์เวซ อ่านจดหมายของนบีมุฮัมมัดแล้วได้แสดงความโอหังออกมาเหมือนกับที่เขาแสดงกับเฮราคลีอุส เขาฉีกจดหมายของนบีมุฮัมมัดทิ้ง
เมื่อคนนำจดหมายกลับมารายงานให้นบีมุฮัมมัดฟัง นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวคำทำนายล่วงหน้าไว้ว่าอีกไม่นาน อาณาจักรเปอร์เซียจะถูกฉีก
แม้นบีมุฮัมมัดได้จากโลกนี้ไปใน ค.ศ.632 แต่คำพูดล่วงหน้าของท่านได้เป็นจริงตามนั้น เพราะอาณาจักรเปอร์เซียเกิดความแตกแยกภายในและถูกมุสลิมพิชิตได้ใน ค.ศ.651
ที่มา : อาจารย์บรรจง บินกาซัน
Tags: