มัวะอฺญิซาต(ปฏิหาริย์) ของท่านนบีสุไลมาน ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน
ท่านนบีสุไลมาน (อ.)เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ท่านมีกองทหารมากมาย ซึ่งทหารของท่านมีทั้งบรรดาสรรพสัตว์ มนุษย์ และญิน ท่านสามารถ พูดภาษาของสัตว์ทุกชนิดได้
ในยุคของนบีสุไลมานนั้น เป็นยุคที่ได้ชื่อว่า ยุคเฟื่องฟูแห่งไสยศาตร์ ในบรรดาชาวอิสรอเอล (ยาฮูดี) จนกระทั่งก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นมาในสังคม และอัลลอฮฺ (ซ.บ) ก็ได้ส่งนบีสุไลมานเพื่อเป็นตัวแทนในการ เปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูให้พวกเขาเหล่านั้นให้มาอยู่ในรูปศาสนาแห่งเตาฮีด นอกเหนือจากพระองค์ทรงประทานวาฮยู และกิตาบ (ซาบูร) จากบิดาคือนบีดาวูด แล้วยังมีมั๊วญิซาตที่ยิ่งใหญ่ และมีพลังอำนาจเหนือไสยศาสตร์ทั้งมวลในยุคนั้น
ซึ่งถ้ามองย้อนประวัติศาสตร์ขึ้นมาอีกนิด ในสมัยของท่านนบีอิดริส ในยุคนั้นอัลลอฮ(ซ.บ) ได้ทรงส่งมาลาอีกัตลงมา 2 ท่าน เพื่อที่ทำการทดสอบอีหม่านของเหล่าบรรดาชาวยิว ซึ่งมีชื่อว่า ฮารุต และมารุต และมาลาอีกัตทั้งสองท่านนั้นก็ได้สอนวิชาอาคม(ไสยศาสตร์)ต่างๆแก่เหล่าบรรดาญิณและมนุษย ในยุคนั้น และเป็นต้นกำเนิดวิชาคาถาอาคมขึ้นมาในยุคต่อๆกันมา จนกระทั่งปัจจุบัน (ผู้เขียนต้องใช้เวลาอยู่หลายวันในการค้นหาประวัติของมาลาอีกัตทั้งสองท่านนี้ แต่ด้วยความสามารถอันจำกัด เพราะในอัลกุรอ่านและอัลฮาดิษได้กล่าวเอาใว้อย่างสั้นๆ อีกทั้งหนังสือที่ใช้ในการค้นคว้าจมน้ำเสียหายพอแห้งแล้วต้องแยกออกเป็นแผ่นๆ)
ซูเราะห์ อัลบากอเราะฮฺ 2:102
102. และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน (*1*) ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา(*2*) โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมา(*3*)แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย(*4*) แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น(*5*) และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น(*6*) ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
(1) หมายถึงพวกประพฤติชั่วในสมัยท่านนะบีสุลัยมานได้นำวิชาไสยศาสตร์ ออกเผยแพร่ และปฏิบัติกัน
(2) หมายถึงการยึดถือวิชาไสยศาสตร์ เพราะปฏิบัติการดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการปฏิเสธศรัทธา
(3) หมายถึงวิชาไสยศาสตร์ที่อัลลอฮฺทรงให้มะลาอิกะฮ์ทั้งสองนำมาเพื่อทดสอบการอีมาน ของวงศ์วานอิสรออีล
(4) จงอย่าศึกษาวิชาไสยศาสตร์เลย เพราะเป็นการปฏิเสธศรัทธา
(5) นอกจากเป็นไปตามกฎสภาวะการณ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น
(6) ผู้ที่เชื่อวิชาไสยศาสตร์ และยึดถือมั่น
ยุคก่อนที่อัลลอฮฺ (ซ.บ) จะทรงส่งนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) นั้นเหล่าบรรดาญินนั้นมีความสามารถที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อที่จะแอบฟังการสนทนาของเหล่าบรรดามาลาอีกัตประชุม เช่นสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือกำลังจะอุบัติขึ้น หรืออุทกภัย วาติภัย โรคระบาด ความเป็นความตาย (คนจะเกิดหรือตาย) และแอบบินลงมาโดยเอาความลับจากฟากฟ้านั้นมาบอกกล่าวแก่ มนุษย์ที่เชื่อมั่นในหนทางไสยศาสตร์ซึ่งทั้งหมดดังกล่าวนั้นไม่มีมนุษย์คนใดที่จะสามารถล่วงรู้ได้ แต่หลังจากนบีมูฮัมัดลงมาความลับถูกปิดกั้นจากญิน และเมื่อมันตัวไหนดื้อดึงก็จะโดนลูกไฟพิฆาติจากอัลลอฮฺ (ซ.บ) จนเสียชีวิต
เมื่อมนุษย์และญินที่บินไปแอบฟังความลับของฟากฟ้าร่วมมือกัน ด้วยเหตุอันใด หรือจุดมุ่งหมายใดๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ตามที ญินดังกล่าวก็ให้ข้อมูลแก่สาวกที่เป็นมนุษย์ และพร้อมด้วยเติมสรร ปันแต่งเรื่องราวต่างๆเพิ่มขึ้น มามากว่าเก่า จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพันในสิ่งที่เป็นจริงและเท็จ จนก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมาในหมู่มวลมนุษย์ ไม่เพียงแค่นำข่าวมาเผยแผ่เท่านั้น ญิณบางตัวก็นำมาซึ่งโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมาในรูปมนต์ดำ และมาเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย จุดประสงค์ทั้งหมดดังกล่าวคือแนวทางของอิบลิสชัยตอน ซึ่งมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ ให้มนุษย์นั้นเหินห่างจากแนวทางของนาบีและปฏิเสธต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ)
เหล่าบรรดานบีและรอซูลในยุคยุคก่อนๆ นั้นต่างก็ห้ามปรามในการที่มนุษย์นั้นร่ำเรียนวิชามนต์ดำ เพราะพวกเขาตระหนักกันดีแล้วว่า ถ้าวิชาเหล่านี้แพร่กระจัดกระจายอยู่บนหน้าผืนดินเมื่อไหร่ ในสังคมที่มนุษย์รวมตัวกันมากๆจะเกิดความแตกแยก รบราฆ่าฟันหรือเป็นศัตรูกัน แต่ด้วยความมหัศจรรย์ของมั๊วญิซัต ที่อัลลอฮทรงประทานให้แก่นบีสุไลมาน สามารถที่จะควบคุมมนต์ดำเหล่านี้ได้ รวมทั้งมนุษย์ ญิน สัตว์ นก ลม
ซูเราะห์ อัลอัมบิยะอฺ 21:82
82. และเราได้ให้ชัยฎอนบางตัวดำน้ำให้สุลัยมาน(*1*) และพวกเขาทำงานอื่นจากนั้น(*2*) และเราเป็นผู้คุ้มกันรักษาพวกเขาเหล่านั้น
(1) ดำน้ำลงไปในทะเลลึก เพื่อนำเอาเพชรพลอยและไข่มุกมาให้สุลัยมาน
(2) เช่น สร้างเมือง สร้างอาคารสูง ๆ และงานอื่น ๆ ที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้
ซูเราะห์ ศอดดฺ 38:37
37. และ (เราได้ทำให้) บรรดาชัยฏอน (อยู่ใต้คำสั่งของเขา) พวกนั้นทั้งหมดเป็นช่างก่อสร้าง และประดาน้ำ
38. และพวกอื่น ๆ ถูกพันธนาการด้วยโซ่ติดกัน (*1*)
(1) เราได้ให้บรรดาชัยฏอน ส่วนหนึ่งเป็นช่างก่อสร้างทำบ้านและโรงงาน ส่วนหนึ่งเป็นประดาน้ำในก้นทะเลลึกเพื่อนำเอาไข่มุกออกมา และอีกส่วนหนึ่งที่ดื้อดึงขัดคำสั่งของเขา จะถูกมัดมือไว้กับต้นคอของมัน และถูกพันธนาการไว้ใต้ดิน
39. นี่คือการประทานให้ของเรา (แก่สุลัยมาน) ดังนั้นเจ้าจะให้แก่ใครก็ได้ หรือจะยับยั้งไม่ให้ใครก็ได้ โดยเจ้าจะไม่ถูกสอบสวน
40. และแท้จริง สำหรับเขานั้นย่อมอยู่ใกล้ชิด ณ ที่เรา และทางกลับที่ดียิ่ง (ในปรโลก) (*1*)
(1) และเราได้ให้แก่เจ้าตามที่เจ้าต้องการ ดังนั้นสิ่งที่เราได้ให้แก่เจ้านั้น เจ้ามีสิทธิ์ที่จะให้ใครหรือไม่ให้ใครเป็นเรื่องของเจ้า และเจ้าจะไม่ถูกสอบสวน นอกจากนั้นในวันกิยามะฮฺเจ้าจะเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับเราและเป็นทางกลับที่ดีของเจ้า
จากอาณาจักรในการปกครองของนบีสุไลมานนั้นกว้างใหญ่ไพศาล บางครั้งต้องรอนแรมเดินทางอันเวลานาน เพื่อตรวจสอบความเป็นปึกแผ่นของอาณาจักร จนทำให้ผู้คนในเมืองหลวงนั้นลืมและเผอเรอในหลักคำสอนของท่าน และทำให้ส่วนใหญ่ของพวกเขาตกอยู่นความมูรตัด เลยทำให้วิชามนต์ดำที่ท่านเคยสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด กลับมาแพร่ระบาดดังเดิม ในที่สุดก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อท่านกลับมา ท่านก็มีนโยบายปราบปรามวิชามนต์ดำเหล่านั้น โดยตรัสส่งให้คนสนิทของท่าน นามว่า “อาชิฟ บิน อาเคีย” พร้อมด้วยทหารใกล้ชิดของท่าน ทำการปราบปรามและรวบรวม วิชามนต์ดำเหล่านั้น(วิชามนต์ดำที่จดบันทึกในวัตถุต่างๆ ไม่ว่ากระดาษหรือหนังสัตว์) และรวบรวมเก็บในหีบพร้อมทั้งกุญแจอย่างแน่นหนาอีกทั้งฝังลงไปในดิน(ใต้บรรลังค์ของท่าน) ถ้าญินตัวใหนฝ่าฝืนท่านก็จะใช้มั๊วยิซัต เผาและทำลายจนตาย
ก่อนที่นบีสุไลมานสิ้นชีวิต นั้นท่านกำลังใช้ญินสร้าง บัยตุลมักดิสอยู่ โดยท่านได้เตรียมแผนผังการก่อสร้างใว้สองชุด โดยให้ญินที่สร้างหนึ่งชุด และท่านเองเก็บใว้หนึ่งชุด โดยที่ท่านคุมงานอยู่ในอาคารแก้วที่ปิดมิดชิดซึ่งมนุษย์และญินไม่สามารถเข้าไปได้ยกเว้นจากการอณุญาติของท่าน เพื่อทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ(ซ.บ)ตามลำพังซึ่งกินเวลานาน และเป็นสิ่งที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำ นบีสุไลมานยืนเสียชีวิตโดยที่ยังถือไม้ค้ำตัวอยู่และไม่มีใครรู้ด้วยว่าท่านเสียชีวิต จนกระทั่งมัสยิดถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ร่างของท่านก็ล้มลง เพราะไม้เท้าที่ค้ำร่างของท่านั้นถูกกัดกินจนผุ ตอนนั้นเองที่ผู้คนและญิณจึงได้รู้ว่าท่านเสียชีวิต
ซูเราะห์ ซาบาฮฺ 34:14
14. ครั้นเมื่อเราได้กำหนดความตายแก่เขา มิได้มีสิ่งใดบ่งชี้แก่พวกเขาถึงความตายของเขา นอกจากปลวกใต้ดินแทะกินไม้เท้าของเขา (*1*) ดังนั้น เมื่อเขาล้มลงพวกญินก็รู้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยแล้ว (*2*) พวกเขาจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่น่าอดสูเช่นนี้ (*3*)
(1) คือพวกพ้องของท่านและพวกญินก็ไม่รู้ระแคะระคายมาก่อนเลยถึงการตายของสุลัยมาน พวกก็อดยานีย์ให้ความหมาย “ดาบบะตุ้ลอัรฏิ” (ปลวก) ว่าหมายถึง “เราะฮฺบะอาม”บุตรของสุลัยมาน เพราะอาณาจักรของสุลัยมานอ่อนอำนาจลงในสมัยของบุตรคนนี้ และความหมายของ “มันสะอะตุฮู” (ไม้เท้า) นั้น คืออำนาจของเขา
(2) คือตามที่มีการกล่าวอ้างกันว่าพวกญินรู้ในสิ่งเร้นลับ
(3) นักตัฟซีรกล่าวว่า สุลัยมานได้ยืนละหมาดอยู่ที่แท่นใช้ไม้เท้ายัน เขายืนตายอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลาถึงหนึ่งปี พวกญินไม่รู้และได้ทำงานหนักอยู่เช่นนั้น โดยที่พวกเขาคิดกันว่านะบีสุลัยมานยังมีชีวิตอยู่
เหล่าบรรดาญินและมนุษย์ ในยุคถัดมา ได้ทำการขุดขึ้นมาพร้อมทั้งกระจายวิชามนต์ดำที่อยู่นหีบนั้นกระจายไปทั่ว พร้อมทั้งข่าวลือขึ้นมาว่า “นี่คือคัมภีร์ของสุไลมานที่เคยรับสั่งให้อาชิฟบินอาเคีย จดบันทึก และเป็นยอดแห่งวิชาความรู้” จากข่าวลือที่สะพัดไปนั้นทำให้บางคนเชื่อมั่นว่า วิชาที่ได้มาจากหีบนั้น คือ วิชาที่นบีสุไลมาน นับถือจนทำให้มีความแข็งแกร่งและมีอำนาจ สุไลมานนั้นไม่ใช่นบี แต่คือผู้มีวิชาอาคม(มนต์ดำ) จวบจนกระทั่งเหล่าบรรดายาฮูดีในยุคนั้นขยันขันแข็งร่ำเรียนวิชามนต์ดำกันอย่างขมักขเม้น
จวบจนกระทั่งมาจนถึงยุคของนบีมูฮัมัด(ซ.ล) จากยุคที่ท่านประสูตร จวบจนกระทั่งได้รับวาฮยู และได้มีวาฮยูจากอัลลอฮ(ซ.บ) ลงมาแก่ท่านเพื่อยืนยันต่อเหล่าบรรดายาฮูดีและถึงเรื่องนบีสุไลมาน แต่ด้วยความมืดบอดของหัวใจ แลอัลลอฮทรงปิดกั้นหัวใจของพวกเหล่านั้น พวกเขาก็มิวายที่จะปฏิเสธอีกทั้งยังกล่าวว่าท่านรอซูล(ซ.ล) ก็เป็นผู้ใช้มนต์ดำ แฉกเช่นเดียวกันกับนบีสุไลมาน
ซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ 101-102
101. และเมื่อได้มีร่อซูลคนใด ณ ที่อัลลอฮฺ มายังพวกเขา ซึ่งจะเป็นผู้ยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา (*1*) กลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ก็เหวี่ยงคัมภีร์ของอัลลอฮฺไว้เบื้องหลังของพวกเขาเสีย (*2*) เสมือนหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้
(1) หมายถึงคัมภีร์เตารอต ในส่วนที่เอกภาพแต่อัลลอฮ์ และส่วนที่เป็นรากฐานแห่งบัญญัติศาสนา
(2) เหวี่ยงส่วนที่บอกลักษณะของท่านนะบีทิ้งเสีย
102. และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(*1*) ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา(*2*) โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมา(*3*)แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย(*4*) แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น(*5*) และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น(*6*) ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
(1) หมายถึงพวกประพฤติชั่วในสมัยท่านนะบีสุลัยมานได้นำวิชาไสยศาสตร์ ออกเผยแพร่ และปฏิบัติกัน
(2) หมายถึงการยึดถือวิชาไสยศาสตร์ เพราะปฏิบัติการดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการปฏิเสธศรัทธา
(3) หมายถึงวิชาไสยศาสตร์ที่อัลลอฮฺทรงให้มะลาอิกะฮ์ทั้งสองนำมาเพื่อทดสอบการอีมาน ของวงศ์วานอิสรออีล
(4) จงอย่าศึกษาวิชาไสยศาสตร์เลย เพราะเป็นการปฏิเสธศรัทธา
(5) นอกจากเป็นไปตามกฎสภาวะการณ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น
(6) ผู้ที่เชื่อวิชาไสยศาสตร์ และยึดถือมั่น
islamhouse.muslimthaipost.com
Tags: