เพราะเหตุใด? อัลลอฮ์(ซบ.) จึงบังเกิดชัยฏอน(มารร้าย) ขึ้นมา
อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ทรงบังเกิดสิ่งใดในชั้นฟ้าและแผ่นดินอย่างไร้ความหมาย ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผล มีเป้าหมาย ซึ่งไม่อาจถูกจำกัดเหตุผลไว้แต่เพียงสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์อันมีขอบเขตจำกัดจะหยั่งรู้
และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่างไร้สาระ (อัด-ดุคอน / 38)
จึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด หากมนุษย์จะไม่สามารถรู้ทุกเหตุผล ทุกคำตอบ ในสิ่งที่สติปัญญาครุ่นคิด เพราะเมื่อสติปัญญามนุษย์ถูกสร้างให้คิดได้ เข้าใจได้ ในขอบเขตที่จำกัดแล้ว การทุ่มเท ครุ่นคิด ในสิ่งที่อยู่นอกเหนือสติปัญญา อยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของมนุษย์นั้น ย่อมไม่อาจบรรลุผลได้โดยเด็ดขาด
พระองค์ทรงบังเกิดมะลาอิกะฮ์ ( Angle ) มาจากรัศมี สร้างมนุษย์มาจากดิน และสร้างมารร้าย ( Satan ) หรือ ชัยฏอน มาจากไฟ ด้วยแหล่งที่มาอันแตกต่าง นั่นย่อมหมายถึงพฤติกรรม และหน้าที่ที่ต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายหลักของการบังเกิดทั้งมนุษย์และมารขึ้นมานั้น ก็เพื่อเคารพ ภักดีต่อพระองค์เป็นที่ตั้ง
และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า (อัซซาริยาต / 56)
การฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ตะอาลา คือสาเหตุที่ทำให้มารร้ายกลายเป็นปฐมภูมิแห่งความชั่ว นับแต่ที่พระองค์ทรงสั่งใช้ให้มันก้มกราบต่อศาสดาอาดัม ด้วยความยโสและคิดว่าตนถูกสร้างมาจากไฟย่อมประเสริฐกว่าอาดัมที่ถูกสร้างมาจากดิน มันจึงโอหังต่อพระองค์และสัญญาว่าจะล่อลวงลูกหลานอาดัมให้ได้รับโทษทัณฑ์พร้อมกับมันในปรโลก
การที่พระองค์ทรงกำหนดให้มารร้ายชักจูงมนุษย์สู่การฝ่าฝืนและความหายนะนั้น ย่อมมีเหตุผล มีจุดประสงค์และเป้าหมาย ซึ่งไม่มีผู้ใดที่สามารถล่วงรู้คำตอบทั้งหมดทั้งมวลนั้นได้นอกจากพระผู้สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น แต่กระนั้นภายใต้กรอบของสติปัญญามนุษย์ที่พระองค์มอบให้ ก็สามารถอธิบายบางส่วนของเหตุผลได้ดังต่อไปนี้
1. การต่อสู้กับมารร้าย เป็นการยกระดับความภักดีและการศรัทธา หมายถึง อัลลอฮ์ ตะอาลา จะส่งเทิดเกียรติบรรดาศาสดาของพระองค์ และบ่าวที่พระองค์ทรงรัก ด้วยภาคผลของการต่อสู้กับการล่อลวงของศัตรูของพระองค์ จากการนี้จะทำให้บ่าวอดทนและยึดพระองค์เป็นที่พึง และขอความคุ้มครองจากพระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งถือว่า การมีอยู่ของมารร้ายนั้น เป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับการศรัทธา และทดสอบผู้ศรัทธา เพื่อแบ่งแยกว่าใครคือผู้ยำเกรงต่อพระองค์อย่างแท้จริง
เพราะแน่นอนเหลือเกินว่า หากมนุษย์ถูกกำเนิดมาให้มีสภาพเหมือนมลาอิกะฮ์ คือ บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสใดๆแล้ว การศรัทธาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีความหมายอะไรอีก ทั้งนี้เพราะพระองค์จะทรงบรรจุความศรัทธาที่มั่นคงไว้ในหัวใจของผู้ศรัทธา ผู้ซึ่งทำสงครามกับการล่อลวง การยุยงของมารร้าย และมีชัยเหนือมัน
2. เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้สำนึก ดังเช่นที่ศาสดาอาดัมเป็นบิดาแห่งมนุษยชาติทั้งมวล อิบลีสก็เป็นบิดาแห่งมารร้ายทั้งมวลเช่นกัน อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงให้เป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียนแก่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาไตร่ตรองว่า หลังจากที่ท่านศาสดาอาดัมทำผิด ( จากการเข้าใกล้ต้นไม้ที่พระองค์ทรงห้าม ) ท่านได้กลับตัว เสียใจและขออภัยโทษต่อพระองค์ และพระองค์ก็ทรงอภัยให้แก่ท่าน ในขณะที่อิบลีสเมื่อฝ่าฝืนต่อพระองค์แล้ว กลับยิ่งโอหังและยังคงฝ่าฝืนพระองค์ต่อไป ดังกล่าวจึงเป็นอุทาหรณ์แบ่งแยกอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างบั้นปลายของผู้กระทำผิดแล้วกลับตัวกับผู้กระทำผิดแล้วยโส โอหัง
3. เพื่อแสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์ในการบังเกิดสิ่งตรงกันข้าม พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทำให้มีความสว่างมีความมืด มีกลางวันกลางคืน มีน้ำมีไฟ มีสวรรค์มีนรก มีร้อนมีหนาว มีโรคภัยและยารักษา มีสิ่งดีและไม่ดี เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่พระองค์ทรงบังเกิด Gabriel ( ญิบรีล ) และบรรดามลาอิกะฮ์ทั้งหลาย และทรงบังเกิด Lucifer ( อิบลีส ) และเหล่ามารร้ายทั้งหลายก็เป็นการย้ำเตือนมนุษย์ให้ตระหนักถึงเดชานุภาพของพระองค์เช่นกัน
4. การมีสิ่งตรงกันข้ามทำให้เห็นความต่าง การที่โลกใบนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ตรงข้ามกัน นั่นเป็นการสอนให้เราจำแนกความแตกต่างระหว่างสิ่งสองสิ่ง ทำให้เรามองเห็นความประเสริฐ ความสำคัญและความสมบูรณ์แบบของสิ่งที่ดีกว่าชัดเจนยิ่งขึ้น
หากเราไม่เคยเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เราจะแยกแยะและรู้ซึ้งถึงสิ่งที่สวยงามได้อย่างไร ?
หากเราไม่รู้จักความจนเราจะเห็นคุณค่าของความร่ำรวยได้อย่างไร ?
หากเราไม่รู้จักว่าการพ่ายแพ้คืออะไร เป็นแบบไหน เราจะรู้หรือไม่ว่าอย่างไรคือชัยชนะ ?
ดังนั้น การที่เรารู้จักความชั่วร้าย รู้ถึงอันตรายและโทษของมัน นั่นทำให้เรารู้เช่นเดียวกันว่า ความดีมีความสำคัญและมีคุณค่ามากเพียงใด
5. สู้กับตนเองเป็นอิบาดะฮ์ การกลับเนื้อกลับตัว การมอบหมายต่ออัลลอฮ์ การอดทน การต่อสู้ในหนทางของพระองค์ ตลอดจนการใช้กันให้ทำดี ปรามกันไม่ให้ทำชั่ว อิบาดะฮ์ต่างๆเหล่านี้ไม่อาจมีขึ้นได้ หากไม่มีการต่อสู้กับอารมณ์ของตนเอง ซึ่งภาคผลของการอิบาดะฮ์ในรูปแบบดังกล่าวข้างต้น เป็นอีกขั้นหนึ่งของภาคผลที่ไม่มีผู้ใดประมาณได้นอกจากพระองค์
6. การสรรค์สร้างจากไฟเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ ไฟเป็นบ่อเกิดของความร้อน การเผาผลาญ การทำลาย แต่อีกด้านหนึ่ง ไฟกลับมีคุณประโยชน์มหาศาล ไฟให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น ฯลฯ เช่นเดียวกับดิน ที่มีทั้งดินดี ดินแข็ง ดินหยาบกร้าน ดินร่วนซุย ดินหลากสีต่างๆ มากมาย อันเป็นการแสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์ในการบังเกิดหลากหลายสิ่งที่ตรงกันข้ามจากต้นกำเนิดเดียวกัน
7. คือสัญญาณแห่งอำนาจและเดชานุภาพของพระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงเดชานุภาพในการตอบแทน ในการลงโทษ ทรงเทิดเกียรติและทรงทำให้ต่ำต้อย ซึ่งหากปราศจากทั้งด้านดีและด้านชั่วแล้ว การตอบแทนและการลงโทษก็จะเป็นสิ่งโมฆะ ซึ่งการโมฆะในเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด
8. พระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ์ ตะอาลา อาทิ ผู้ทรงลงโทษอย่างเด็ดขาด ผู้ทรงเที่ยงธรรม ผู้ทรงลงทัณฑ์อย่างเจ็บแสบ ผู้ทรงลงทัณฑ์อย่างรวดเร็ว ผู้ทรงทำให้ต่ำต้อย ไร้เกียรติ พระนามต่างๆเหล่านี้ จำเป็นต้องมีความเกี่ยวพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และหากว่ามนุษย์และมารต่างมีคุณลักษณะเฉกเช่นมลาอิกะฮฺแล้ว พระนามและคุณลักษณะเช่นนี้ของพระองค์ก็จะไม่มีความหมายแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการขัดแย้งกับคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ของพระองค์
9. พระผู้เป็นเจ้าทรงดำรงไว้ซึ่งพระนามและคุณลักษณะแห่งการให้อภัย การไม่ถือโทษ และไม่เอาผิดในความผิดของบ่าวที่พระองค์ทรงประสงค์ หากพระองค์ไม่ทรงบังเกิดปฐมเหตุหลักที่นำพามนุษย์สู่การฝ่าฝืนแล้ว พระนามและคุณลักษณะแห่งการอภัย การเมตตาของพระองค์ย่อมหมดความหมาย ซึ่งการที่พระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดขึ้นอย่างไร้ความหมาย หรือค้านกับคุณลักษณะแห่งการเป็นพระเจ้านั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดเช่นกัน
islamhouse.muslimthaipost.com
Tags: