ชีวประวัติของท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม สตรีผู้แกร่งกล้า
ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม ภรรยาฟาโรห์แห่งอียิปต์
สตรีผู้แกร่งกล้า อาซียะห์ คือภรรยาของฟิรเอาน์ (ฟาโรห์รามเสสที่สอง) และเป็นลูกสาวของมุซาฮิม
กล่าวกันว่าเมื่อนางได้เห็นปาฏิหาริย์ (มุอ์ญิซาต) ของศาสดามูซา (อ.) เบื้องหน้านักมายากล ทำให้แสงแห่งความศรัทธาได้จุดประกายขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจของนาง และนับจากช่วงเวลานั้นเองที่นางได้ศรัทธาต่อศาสดามูซา (อ.)
อาซียะห์ศรัทธาต่อท่านศาสดามูซา (อ.) ในช่วงเริ่มแรกที่ท่านประกาศภารกิจความเป็นผู้ถือสาส์น (ริซาละฮ์) แห่งพระผู้เป็นเจ้า และแสดงมุอ์ญิซาต (ปาฏิหาริย์) ของท่านต่อฟิรเอาน์ กล่าวคือ เมื่อไม้เท้าของท่านศาสดามูซา (อ.) กลายเป็นงูขนาดใหญ่และกลืนกิน (งูที่เป็น) เวทมนตร์ของนักมายากลของฟิรเอาน์ ทำให้นางมีความมั่นใจ (ยะกีน) ในความเป็นศาสดาของท่านศาสดามูซา (อ.) และได้เปิดเผยความศรัทธาของตนที่มีต่อท่าน
เมื่อฟิรเอาน์รับรู้ถึงความศรัทธาของนาง เขาห้ามปรามนางหลายครั้งหลายครา และยืนกรานที่จะให้นางละทิ้งจากการศรัทธาต่อมูซา (อ.) และต่อพระผู้เป็นเจ้าของมูซา (อ.)
แต่สตรีผู้นี้ได้ยืนหยัดโดยไม่ยอมจำนนต่อความต้องการของฟิรเอาน์แม้แต่น้อย
เมื่อผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวนางได้กล่าวกับนางว่า
“อย่าทำให้ความศรัทธาที่มีต่อคนเลี้ยงแกะเพียงคนเดียวทำให้พระนางต้องสูญเสียปัจจัยอำนวยสุขที่มีอยู่ในครอบครองทั้งหมดเหล่านี้ไปเลย!” นางปฏิเสธคำแนะนำของบุคคลเหล่านั้น และแสดงออกถึงความรังเกียจของนางที่มีต่อฟิรเอาน์และอาชญากรรมต่างๆ ของเขา
ในที่สุดฟิรเอาน์ได้ออกคำสั่งให้นำท่านหญิงอาซิยะฮ์ขึงพืดนางไว้ภายใต้แสงแดดที่ร้อนจัด และนำก้อนหินขนาดใหญ่มาวางทับไว้บนหน้าอกของนาง
ประวัติศาสตร์ได้จารึกถึงการยืนหยัดของหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งเธอสามารถหาความสุขได้ในโลกดุนยานี้ โดยไม่มีความลำบากยากเย็นแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยความศรัทธา (อีหม่าน) อันแน่นแฟ้นของเธอ เธอละจากความสุขที่ไม่ถาวรสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เธอถูกทรมานจากสามีของเธอที่เป็นราชาพร้อมกับอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แต่การถูกทรมานก็มิอาจบั่นทอนอีหม่านของเธอแม้แต่น้อย
ซึ่งอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงยกเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ศรัทธาในซูเราะฮ์อัตตะห์รีม อายะฮ์ที่ 11 ว่า
ความว่า “และอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงยกอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ศรัทธาถึงภรรยาของฟิรเอาน์
เมื่อนางได้กล่าวว่า "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดสร้างบ้านหลังหนึ่งให้แก่ข้าพระองค์ ณ ที่พระองค์ท่านในสรวงสวรรค์ และทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) และการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากกลุ่มชนผู้อธรรม”
อาซียะห์ ได้ศรัทธาต่อนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม เมื่อฟิรเอาน์รู้เรื่องการ อีหม่านของนางต่อนบีมูซา เขาจึงสั่งให้ฆ่านางและทรมานนาง
มีรายงานจาก อัลกอซิม บิน อะบีนิบเราะฮ์ ว่า ขณะที่เธอกล่าวว่า
"ฉันอีหม่านต่อพระเจ้าของมูซาและฮารูน "
ฟิรเอาน์จึงส่งบริวารของมันพร้อมกล่าวว่า
"เจ้าทั้งหลายจงค้นหาก้อนหินที่ใหญ่ที่สุด ทุ่มที่ตัวนาง หากนางยังคงยืนหยัดกับคำกล่าวของนาง ถ้านางกลับคำ นางก็ยังคงเป็นภรรยาของข้า"
เมื่อทหารรับใช้ของฟิรเอาน์ ได้ไปถึงนาง นางเงยหน้าของนางสู่ท้องฟ้า ขณะนั้นนางได้แลเห็นบ้านของนางในสวรรค์ นางจึงยืนกล่าวคำเดิมว่า
"ฉันอีหม่านต่อพระเจ้าของมูซาและฮารูน "
ในขณะที่วิญญาณของนางถูกถอดออกจากร่าง เหล่าทหารซึ่งเป็นบริวารของฟิรเอาน์ ได้โยนก้อนหินขนาดใหญ่บนเรือนร่างของนางที่ไร้วิญญาณ
และบางรายงานเล่าว่า เธอถูกทรมานโดยการถูกเผาด้วยแสงแดดที่ร้อนแรง เมื่อฟิรเอาน์และบริวารกลับไป
เหล่ามะลาอิกะฮ์เอาปีกของมะลาอิกะฮ์เป็นร่มบังแสงแดดให้แก่นาง
และมีรายงานในหนังสือตัฟซีร อัลกุรอานุลกีม ของอิบนุกะษีรว่า ฟิรเอาน์ได้นำนางไปและรัดมือและเท้าของนางกับเสาที่ฟิรเอาน์เตรียมไว้ ขณะนั้นอาสิยะฮ์ ได้ขอต่ออัลลอฮ์ โดยกล่าวว่า
ความว่า “โอ้อัลลอฮ์ โปรดสร้างบ้านให้ข้าพเจ้าในสวรรค์ ณ ที่พระองค์”
อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงตอบรับการขอของนาง นางหัวเราะเมื่อนางเห็นบ้านของนางในสวรรค์
ฟิรเอาน์ จึงกล่าวว่า เจ้าทั้งหลายแปลกใจหรือไม่? ในอาการบ้าของนาง...! ข้าทรมานนาง แต่นางกับหัวเราะ ในขณะนั้นอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้นำวิญญาณของนางสู่สรวงสวรรค์
ท่านก่อตาดะฮ์ (قَتَادَةُ) กล่าวว่า
ความว่า “ณ เวลานั้น ฟิรเอาน์ คือ ผู้ทนงตนที่สุดในภาคพื้นดิน และไม่มีใครเป็นผู้ปฏิเสธเหนือเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ว่า การกุโฟร (كُفْرٌ) ของฟิรเอาน์ ซึ่งเป็นสามี ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่ออาสิยะฮ์ ซึ่งเป็นภรรยาขณะที่นางตออัตภัคดีต่อพระเจ้าของนาง ให้คนทั้งหลายได้ทราบว่า แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.)เที่ยงตรงยุติธรรมในการตัดสินของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงลงโทษผู้ใดเว้นแต่โทษที่เขามีสิทธิรับมัน”
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก ความศรัทธาของท่านหญิงอาสิยะฮ์เป็นแบบฉบับและเป็นอุทาหรณ์อันล้ำเลิศและสูงส่งยิ่งแก่ผู้ต่อสู้กับอธรรมด้วยอีหม่านอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว และเป็นบทเรียนอันล้ำค่าแก่ผู้แสวงหาความสุขอันถาวร
ที่มา: islamhouse.muslimthaipost.com
Tags: