ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน
คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยนบีมุฮัมมัดเพราะเห็นว่าลัทธิ นิกายและศาสนาอื่นๆ มักจะใช้ชื่อศาสดาเป็นชื่อของลัทธิหรือศาสนานั้นๆ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ นักบูรพคดีชาวตะวันตกบางคนจึงพยายามเรียกอิสลามว่า “ศาสนามุฮัมมัด” (Mohammedanism) จะด้วยเจตนาอะไรแฝงเร้นหรือไม่เจตนาก็ตาม การเรียกชื่อเช่นนี้ทำให้คนเข้าใจว่านบีมุฮัมมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีหลักฐานตรงไหนในคัมภีร์กุรอานที่นบีมุฮัมมัดอ้างว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาของท่านขึ้นมาเอง หากแต่ท่านได้ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหลักธรรมคำสอนต่างๆที่ท่านนำมานั้นล้วนมาจากพระเจ้า(ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลลอฮฺ”) และหลักธรรมที่ท่านนำมาสอนนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากหลักธรรมคำสอนของศาสดาก่อนๆนำมาไม่ว่าจะเป็นนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) มูซา(โมเสส) หรือนบีอีซา(พระเยซู) เพราะนบีเหล่านี้นำหลักธรรมคำสอนมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของนบีเหล่านี้จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน แต่เนื่องจากคำสอนที่นบีเหล่านี้นำมาได้ถูกผู้คนหลงลืมไปและบันทึกคำสอนของนบีเหล่านั้นได้สูญหายหรือถูกทำลายหรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปตามกาลเวลาจนหลักคำสอนดั้งเดิมได้เลือนรางและสูญหายไป พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ส่งคัมภีร์กุรอานมาเป็นหลักฐานยืนยันคำสอนของนบีคนก่อนๆและเพื่อเป็นสิ่งแยกแยะว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จที่กุขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังได้แต่งตั้งให้นบีมุฮัมมัดเป็นผู้ให้คำอธิบายหลักธรรมคำสอนในคัมภีร์กุรอานทั้งโดยคำพูดและการปฏิบัติด้วย
สาระสำคัญของคำสอนที่นบีต่างๆนำมาก็คือพระเจ้ามีองค์เดียว และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้คือพระเจ้าที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะ เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม วิงวอน บนบานและอธิษฐาน ใครก็ตามที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งในสมัยของตน คนผู้นั้นก็เป็น “ผู้นอบน้อมยอมตนต่อพระเจ้า” ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มุสลิม”
ดังนั้น มุสลิมจึงมิใช่เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยของนบีมุฮัมมัด หากแต่มีมาตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์คนแรกแล้ว นั่นคืออาดัม หลังจากสมัยของอาดัม ลูกหลานของอาดัมได้หลงผิดหันไปยึดเจว็ดบูชาต่างๆมาเป็นพระเจ้าและเคารพสักการะสิ่งเหล่านั้นแทนพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์จึงได้ให้โนอาห์มาตักเตือนผู้คนเหล่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธและเย้ยหยันคำตักเตือนของท่าน ในที่สุด โนอาห์ก็ได้วิงวอนขอให้พระเจ้าลงโทษผู้ปฏิเสธพระองค์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการทำลายล้างผู้ปฏิเสธพระเจ้า เรื่องราวนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานด้วยรายละเอียดที่ต่างกัน
นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกลูกหลานอิสราเอลและชาวอาหรับได้ถูกพระผู้เป็นเจ้าสั่งว่า “จงนอบน้อมยอมตน” ท่านก็ตอบรับทันทีว่า “ฉันนอบน้อมยอมตนต่อพระองค์แล้ว”
ในทำนองเดียวกัน นบีอิบรอฮีมก็สั่งสอนลูกๆให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับท่าน ยาโกบ(หรือยะกู๊บผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล)หลานของนบีอิบรฮีมก็ได้สั่งลูกๆของตนว่า “ลูกๆเอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”
เมื่อตอนที่ยะกู๊บจะเสียชีวิต ท่านได้ถามลูกๆ ว่า “หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด?” ลูกๆของท่านกล่าวว่า “เราจะเคารพภักดีพระเจ้าที่พ่อและบรรพบุรุษของพ่อ นั่นคืออิบรอฮีม อิสมาอีล(อิชมาเอล)และอิสฮาก(อิสอัค)ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเราเป็นมุสลิม” (กุรอาน 2:131-133)
คัมภีร์กุรอานยืนยันว่านบีอิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ท่านเป็นมุสลิม เพราะชาวยิวนับถือคัมภีร์โตราห์และชาวคริสเตียนนับถือคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มาทีหลังสมัยของนบีอิบรอฮีมหลายร้อยปี (กุรอาน 3:67)
ยูซุฟหรือโยเซฟลูกชายคนหนึ่งของยะกู๊บก็วิงวอนต่อพระเจ้าว่า “ขอได้โปรดให้ฉันตายในฐานะเป็นมุสลิมและได้โปรดรวมฉันไว้กับผู้มีคุณธรรมความดีที่สุดด้วยเถิด” (กุรอาน 12:101)
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบคำสอนบางอย่างที่คล้ายกันในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เช่น นบีมุฮัมมัดสั่งผู้ชายมุสลิมให้เข้าสุนัต(ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญรอยตามนบีคนก่อนๆ คัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งเรื่องนี้ไว้เช่นกัน“นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุนัต เจ้าจงเข้าสุนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า” (ปฐมกาล 17:10-11)
ทั้งยอห์นแบพติสต์และพระเยซูก็เข้าสุนัต (ลูกา 1:59 และ 2:21)
คัมภีร์กุรอานห้ามเรื่องดอกเบี้ย ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งห้ามเช่นกันดังนี้ “อย่าเอาดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มอะไรจากเขา แต่จงยำเกรงพระเจ้าเพื่อว่าพี่น้องเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าได้ เจ้าอย่าให้เขายืมเงินด้วยคิดดอกเบี้ย” (เลวีนิติ 25:36-37)
คัมภีร์กุรอานประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างรุนแรงว่าเป็นความชั่วที่แม้แต่สัตว์เองก็ไม่ทำและยังได้เล่าเรื่องราวที่พระเจ้าลงโทษชาวเมืองโซดอมด้วยการทำลายเมืองนี้จนจมธรณีไปเพราะสาเหตุที่ชาวเมืองนี้ชอบมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ คัมภีร์ไบเบิลก็เล่าเรื่องราวดังกล่าวนี้ไว้ เช่นกัน “แล้วพระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเจ้าตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงขยี้เมืองเหล่านั้น ลุ่มน้ำทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชต่างๆ” (ปฐมกาล 19:24-25)
แต่ทว่าในปัจจุบัน ชาติคริสเตียนบางชาติในยุโรปและรัฐบางรัฐในสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้มีการแต่งงานกันในเพศเดียวกัน คัมภีร์กุรอานสั่งห้ามการบูชาสักการะเจว็ดรูปปั้นต่างๆ คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามเช่นกัน
“อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่อยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 20:4-5)
“พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ ไอ้ซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว…” (มัทธิว 4:10)
นบีมุฮัมมัดสอนให้มุสลิมทักทายกันด้วยคำว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า : พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ตรงกับภาษาอาหรับว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ยอห์น 20:26)
การกินเนื้อหมูไม่เพียงแต่จะถูกสั่งห้ามในคัมภีร์กุรอานเท่านั้น แม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามด้วย “….หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลยและเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นมลทินแก่เจ้า” (เลวีนิติ 11:7-8)
นบีมุฮัมมัดถือศีลอดตามคำสั่งของพระเจ้า พระเยซูก็ถือศีลอดเช่นกัน “และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร” (มัทธิว 4:2)
จะเห็นได้ว่าหลักความเชื่อและคำสอนหลักๆของพระเจ้าที่ศาสดาทั้งหลายนำมานั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของศาสนาจึงมิใช่ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์แตกแยกหรือขัดแย้งกัน แต่การออกจากหลักธรรมคำสอนของศาสนาต่างหาก ที่ทำให้มนุษย์แตกต่าง แตกแยกและขัดแย้งกัน
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
Tags: