จุดกำเนิด-สิ้นสุด ชีวิตและวิญญาณ
คนเป็นต่างกับคนตายก็ตรงที่คนเป็นยังมีวิญญาณอยู่ในร่าง ส่วนคนตายนั้นหมายถึงคนที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว
วิญญาณเป็นสิ่งที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น แต่มนุษย์เชื่อว่าตราบใดที่วิญญาณยังอยู่ในร่าง ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงมีชีวิต
ทุกวันนี้ ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้ามากเพียงใด วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าวิญญาณคืออะไร? วิญญาณมาจากไหน? ใครสร้างวิญญาณ? วิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างมนุษย์อย่างไรและตั้งแต่เมื่อใด? วิญญาณมีความต้องการเหมือนกับร่างกายไหม? วิญญาณออกไปจากร่างมนุษย์อย่างไร? และอื่นๆอีกมากมาย
เหตุผลที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบเรื่องวิญญาณแก่มนุษย์ได้ก็เพราะว่าวิญญาณอยู่นอกอาณาจักรวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นอาณาจักรทางวัตถุ ในเรื่องของชีวิต อาณาจักรวิทยาศาสตร์เริ่มต้นแค่ตรงที่ตัวสเปิร์มและสิ้นสุดเขตแดนตรงลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าใครจะศึกษาเรื่องวิญญาณ ก็ต้องหันไปหาคำตอบจากศาสนาที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างวิญญาณ
เมื่อวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิต ถามว่าวิญญาณกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกันใช่ไหม?
คำตอบคือ ไม่ใช่
ตัวสเปิร์มมีชีวิตก็จริงอยู่ แต่ตัวสเปิร์มยังไม่มีวิญญาณ เพราะตามคำจำกัดความทางวิทยาศาสตร์ สิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหว ต้องการอาหารและเจริญเติบโตได้เท่านั้น
ส่วนวิญญาณนั้นมีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเป็นตัวสเปิร์มเสียด้วยซ้ำ
คัมภีร์กุรอานบทที่ 7 วรรคที่ 172 : ให้ข้อมูลว่าก่อนมนุษย์จะเกิดในโลกนี้ วิญญาณของมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้วในโลกแห่งวิญญาณ และก่อนที่ดวงวิญญาณจะถูกส่งมาอยู่ในร่างของมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างวิญญาณได้ให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นยืนยันกับพระองค์ก่อนว่าพระองค์คือ พระเจ้าของพวกมัน และดวงวิญญาณทั้งหมดก็ยืนยัน
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ส่วนลึกของจิตใจมนุษย์จึงยังคงแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มันเชื่อมั่นว่ามีอำนาจคุ้มครองดูแลมันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ามนุษย์จะมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม แต่เป็นเพราะสายตามนุษย์ไม่เห็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเท่านั้น มนุษย์จึงตั้งสมมุติเทพขึ้นมาเพื่อสักการะและวิงวอนขอความช่วยเหลือจนลืมนึกถึงพระเจ้าที่แท้จริง
หลังจากนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดได้มาอธิบายเพิ่มเติมถึงการสร้างมนุษย์ในครรภ์เมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้วว่า
“วิธีการที่พวกท่านแต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาก็คือท่านได้ถูกรวมเข้าไว้ในรังไข่ของแม่ท่านเป็นเวลาสี่สิบวันในตอนที่เป็นหยดเชื้ออสุจิ หลังจากนั้น ในระยะเวลาเท่าๆกันก็เป็นก้อนเลือดและหลังจากนั้นก็เป็นก้อนเนื้อในเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้น ทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ)องค์หนึ่งก็จะถูกส่งมาเป่าวิญญาณเข้าไปในท่านและมีหน้าที่ทำตามคำบัญชาสี่ประการ นั่นคือ กำหนดปัจจัยยังชีพของท่าน ช่วงอายุของท่าน การกระทำของท่านและท่านจะทุกข์หรือสุข”
ในอีกคำบันทึกหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่ทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ)เกี่ยวกับเรื่องครรภ์ของผู้หญิง มลาอิก๊ะฮฺจะกล่าวว่า ‘โอ้ พระผู้อภิบาล หยดอสุจิ โอ้พระผู้อภิบาล ก้อนเลือด โอ้ พระผู้อภิบาลก้อนเนื้อ’ เมื่ออัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะทำให้การสร้างตัวอ่อนในครรภ์สมบูรณ์ มลาอิก๊ะฮฺจะกล่าวว่า ‘โอ้พระผู้อภิบาล เพศชายหรือเพศหญิง? ทุกข์หรือสุข? ปัจจัยยังชีพแค่ไหน? อายุยืนนานเท่าใด?’ และทูตสวรรค์ก็จะลิขิตไว้สำหรับเขาในครรภ์มารดาของเขา”
จากคำพูดของท่านนบีมุฮัมมัดดังกล่าวข้างต้นทำให้มุสลิมรู้ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ในครรภ์มารดาก่อนที่วงการวิทยาศาสตร์จะมีกล้องจุลทรรศน์และเครื่องอุลตราซาวด์ว่าเมื่อสเปิร์มของฝ่ายชายไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงกลายเป็นก้อนเลือดและก้อนเนื้อก่อนโดยที่ยังไม่มีวิญญาณ แต่เมื่อครบเวลา 120 วัน วิญญาณ(รูฮฺ)ของมนุษย์ได้ถูกเป่าเข้าไปในก้อนเนื้อเพื่อให้เกิดตัวตน(นัฟสฺ)ของมนุษย์และวิวัฒนาการเติบโตในครรภ์เป็นเวลา 9 เดือนจึงคลอดออกมาเป็นทารก
เมื่อมีทารกใหม่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าดวงวิญญาณของมนุษย์ผู้หนึ่งได้เดินทางผ่านโลกแห่งครรภ์มารดาซึ่งเป็นโลกที่สองมาสู่โลกที่สามหรือโลกชั่วคราวใบนี้ ดังนั้น มุสลิมจะต้อนรับดวงวิญญาณใหม่ในร่างทารกน้อยด้วยการประกาศความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺเบาๆข้างหูทารกแรกเกิดเหมือนกับจะเตือนวิญญาณให้ระลึกถึงคำยืนยันที่ทำไว้กับพระเจ้าก่อนที่จะมายังโลกนี้ แม้ทารกจะยังไม่ได้ยินก็ตาม แต่วิญญาณของทารกนั้นได้ยิน
และเมื่อวาระแห่งความตายใกล้มาถึง ท่านนบีมุฮัมมัดได้สั่งมุสลิมให้เตือนวิญญาณที่กำลังจะออกจากร่างมนุษย์กล่าวยืนยันคำมั่นสัญญาเดิมที่มันเคยทำไว้กับพระเจ้าของมันอีกครั้งหนึ่งว่า “ลาอิลาฮะอิลัลลอฮฺ" (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) เพื่อเตือนให้ดวงวิญญาณนั้นได้รู้ว่ามันกำลังจะกลับไปสู่ผู้ที่ส่งมันมาแล้ว และชะตากรรมของมันในโลกหลังความตายขึ้นอยู่กับการกล่าวถ้อยคำนี้
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
Tags: