มัรฺยัมหรือมารีย์ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก
ครั้งหนึ่ง นบีมุฮัมมัดเคยกล่าวไว้ว่า “ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกในยุคของเธอคือนางมัรฺยัม(หรือนางมารีย์ มารดาของพระเยซู)”
นบีอีซาหรือพระเยซูถือกำเนิดก่อนนบีมุฮัมมัดประมาณ 600 ปี เรื่องราวของนางมารีย์กับพระเยซูมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยภาษาฮิบรู แต่ท่านนบีมุฮัมมัดรู้เรื่องราวของบุคคลทั้งสองนี้ได้อย่างไรในเมื่อนบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือ อย่าว่าแต่ภาษาฮิบรูเลย แม้แต่ภาษาอาหรับ ท่านก็อ่านไม่ออก
คำตอบคือท่านรู้จากการเปิดเผย(วิวรณ์)หรือการบอกให้รู้จากพระเจ้าและการเปิดเผยนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์กุรอาน
การเปิดเผยเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูหรือนบีอีซามีขึ้นเมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังเมืองยัษริบซึ่งที่นั่นมีพวกลูกหลานอิสราเอลตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว แต่คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่ายิว
นอกจากชาวยิวแล้ว แผ่นดินอาหรับในเวลานั้น ยังมีชุมชนคริสเตียนอาศัยอยู่ทางตอนใต้ด้วย ทั้งสามกลุ่มชนนี้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีลูก ชาวยิวเชื่อว่าเอษราเป็นบุตรของพระเจ้า ชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนชาวอาหรับเชื่อว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นลูกสาวของพระเจ้า
ในคัมภีร์กุรอาน ชาวยิวเชื่อว่าพวกเขาฆ่าพระเยซู ดังนั้น ชาวยิวจึงเชื่อว่าพระเยซูตายแล้ว ส่วนชาวคริสเตียนในเวลานั้นมีความสับสนในเรื่องการเกิดและการตายของพระเยซูอันเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องตรีเอกานุภาพที่เกิดขึ้นหลังสมัยพระเยซู
ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ประทานเรื่องราวของนางมารีย์และพระเยซูไว้ในคัมภีร์กุรอานเพื่อที่นบีมุฮัมมัดจะได้นำไปอ่านทำความเข้าใจให้แก่คนทั้งสองกลุ่ม
คัมภีร์กุรอานเล่าว่าแม่ของนางมารีย์เป็นหญิงในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนาและเป็นญาติกับเศคาริยาห์(ซะกะรียา) นางบนบานต่อพระเจ้าว่าหากนางมีลูก นางจะอุทิศลูกของนางให้แก่วิหารแห่งเยรูซาเล็มเพื่อทำหน้าที่เป็นนักบวชรับใช้ศาสนาของพระเจ้า
เมื่อนางคลอดบุตรออกมาเป็นผู้หญิงชื่อมารีย์ นางรู้สึกผิดหวังเพราะผู้หญิงไม่สามารถเป็นนักบวชได้ แต่เมื่อบนบานไว้แล้วจะอุทิศลูกให้แก่พระเจ้า นางจึงพาทารกหญิงไปปรึกษานักบวชประจำวิหารและคณะนักบวชได้รับนางไว้โดยกั้นห้องเล็กๆข้างวิหารให้เธออยู่เป็นการเฉพาะและได้มอบให้เศคาริยาห์ผู้เป็นลุงทำหน้าที่ดูแล
เมื่อมารีย์โตเป็นสาว พระเจ้าต้องการที่จะแสดงเดชานุภาพของพระองค์ให้พวกลูกหลานอิสราเอลได้เห็นอีกครั้งหนึ่งโดยอาศัยเธอ เพราะก่อนหน้านี้พวกลูกหลานอิสราเอลได้ทรยศต่อพระเจ้ามาตลอดนับตั้งแต่สมัยของโมเสส วันหนึ่ง พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกเธอว่าเธอจะมีบุตรคนหนึ่งชื่ออีซา เธอตกใจมากและได้กล่าวว่า “ฉันจะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อเคยมีชายใดมาแตะต้อง” แต่ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าพระเจ้าประสงค์จะให้อะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้า”
หลังจากนั้นไม่นาน มารีย์ได้ตั้งครรภ์โดยที่ไม่มีชายใดแตะต้องนาง ด้วยความอับอาย นางจึงหนีออกจากห้องพักของนางไปคลอดลูกชื่ออีซา(หรือเยซัส)ใต้ต้นอินทผลัมต้นหนึ่ง ในฐานะที่เป็นหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เธอรู้สึกอับอายต่อการคลอดลูกโดยที่เธอไม่มีชายใดมาแตะต้อง และเธอต้องเจ็บปวดเมื่อถูกนักบวชประณามหยามเหยียดเธอต่างๆนานา แต่พระเจ้าได้สั่งเธอว่าไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ใครอยากรู้ความจริงให้ไปถามทารกในเปลดู เมื่อได้ยินเช่นนั้น บางคนจึงหาว่านางเสียสติ แต่แล้วทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของเด็กน้อยจากเปลดังนี้
“ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นนบีและพระองค์ได้ทรงทำให้ฉันเป็นที่ได้รับความจำเริญไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด พระองค์ทรงสั่งฉันให้นมาซและจ่ายซะกาตตราบใดที่ฉันยังมีชีวิต และได้ทรงให้ฉันรับใช้แม่ของฉันและมิได้ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ก้าวร้าวและจิตใจแข็งกระด้าง สันติได้มีแก่ฉันในวันที่ฉันเกิดและสันติจะมีแก่ฉันในวันที่ฉันตายและวันที่ฉันถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง” (คัมภีร์กุรอาน 19:30-33)
ความเจ็บปวดทั้งกายและใจของนางมารีย์ในการเป็นสื่อแสดงปาฏิหาริย์ของพระเจ้าโดยการให้กำเนิดอันมหัศจรรย์แก่เยซัสผู้นำศาสนาของพระเจ้ามายังโลกนี้ คือสิ่งที่ทำให้ท่านนบีมุฮัมมัดยกย่องว่าเธอเป็นสตรีที่ดีที่สุดในยุคของเธอ
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
Tags: