เปิดใจ “น้องบ่าว” ฟารีด ชูรุ่ง ฟ๊อกฮันต์รุ่น 3 เยาวชนดาวรุ่งบินลัดฟ้าไป เลสเตอร์
ฟารีด ชูรุ่ง เด็กหนุ่ม วัย 16 ปี จากอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เขาเป็นลูกชายของอดีตกองหน้าตัวแทนอำเภอที่ไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันแห่งลูกหนัง แต่ลูกไม้ใต้ต้นลูกนี้ กำลังสานความฝันด้านฟุตบอลของคุณพ่อให้เป็นจริง
“น้องบ่าว” (ชื่อเล่นของ ฟารีด ชูรุ่ง) ลูกชายคนสุดท้องจากพี่น้อง 3 คน ของ หะเสม ชูรุ่ง อดีตนักฟุตบอลในตัวอำเภอ ที่เคยเล่นฟุตบอลกับอดีตทีมชาติอย่าง “บังยูโซบ” สิริศักดิ์ ขะเดหรี และ สุเมธ อัครพงษ์ แต่เส้นทางชีวิตลูกหนังของคุณพ่อ ไปได้ไม่ไกล ทำให้ต้องร้างลาจากรองเท้าสตั๊ดคู่ใจ มาทำสวน และขายขนมหวานที่ตลาดนัดในปัจจุบัน
“แต่ความฝัน ไม่มีดีเอ็นเอหรอก บางครั้ง ความฝัน มันก็ถ่ายทอดสู่ลูกได้”
อันที่จริง ลูกชายคนโตของ หะเสม ก็เป็นนักฟุตบอลนะ แต่เกิดความโชคร้าย เมื่อเจออุบัติเหตุบนฟลอร์หญ้าจนเอ็นหัวเข่าขาด สมัยอยู่ ม.5 ที่โรงเรียนมหาวชิราวุทธ จังหวัดสงขลา ทว่าสุดท้าย พรสวรรค์ของ ฟารีด เจ้าลูกชายคนเล็ก ก็ปัดฝุ่นความฝันของคุณพ่ออีกครั้ง
ฟารีด กลายเป็นนักเตะจากภาคใต้เพียงคนเดียวที่ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่จาก คิง เพาเวอร์ ในโครงการ Fox Hunt (ฟ็อกซ์ฮันท์) รุ่นที่ 3 และสองปีครึ่งนับจากนี้ ทุกอย่างมันคือสิ่งที่เคยฝัน ที่กำลังเกิดขึ้นจริง
“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ ครับ 4-5 ขวบก็เริ่มเล่นแล้ว ก็เคยแข่งในระดับเด็กๆ ต่อมาตอนประถม ก็เล่นให้กับโรงเรียนที่นาทวี แต่ก็ยังไม่จริงจังอะไรนะ จนกระทั่ง ม.1….” ฟารีด เกริ่นนำถึงเรื่องชีวิตตนเอง ก่อนที่คุณพ่อจะเสริมว่า
“ตอนเด็กๆ ผมก็ให้ลูกชายเล่นฟุตบอลอยู่แถวบ้านนั่นแหละ ไม่มีสนามดีๆ หรอกนะ ก็เล่นมันกลางทุ่งกลางสวน บางทีก็พามาเล่นในอำเภอ ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วตอน ม.1 บังเอิญที่ลูกชายเข้าแข่งขันในรายการของจังหวัด เป็นตัวแทนโรงเรียนและต้องเจอกับ ทีมโรงเรียน อบจ.สงขลา พิทยานุสรณ์ ซึ่งสามารถยันเสมอได้ ฟอร์มของเจ้าบ่าวเลยเข้าตาโค้ชของโรงเรียน อบจ. ซึ่งเป็นโรงเรียนกีฬาของจังหวัด”
“หลังจากนั้น ลูกผมก็ถูกดึงไปเล่นให้ โรงเรียน อบจ. สงขลาฯ ในรายการ ไพร์มมินิสเตอร์ ตอนแรก บ่าวเขาจะไม่ยอมอยู่ เพราะมันเบื่อ จากเด็กบ้านๆ ที่ไม่เคยออกข้างนอก จะหนีกลับอยู่แล้วตอนนั้น แต่สุดท้าย มันมียูธลีก ยู-15 แข่งพอดี ลูกผมเลยอยู่ต่อเพื่อทำตามฝันด้านฟุตบอล”
-----
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จจากรายการ ยูธ ลีก ทว่าหลังจากนั้น “น้องบ่าว” ก็ถูกพาไปคัดตัวติดทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี เตรียมเข้าสู่ทีม “กิเลนผยอง” หลังจากจบชั้น ม.3 แต่สุดท้าย การได้เข้ามาร่วม “ฟ็อกซ์ฮันท์” ทำให้ปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่เมืองหลวงศิวิไลซ์อย่าง กรุงเทพมหานคร แต่เป็นประเทศอังกฤษ ที่เขายังไม่เคยสัมผัส แม้แต่จะคิด
“ตอนนั้น ผมตั้งใจไว้แล้วว่า จบ ม.3 จะมาอยู่กับ เมืองทอง แต่พอดีมีรายการ คิง เพาเวอร์ ที่โรงเรียน (อบจ. สงขลาฯ) ส่งแข่ง เป็นรายการสุดท้ายของผมกับโรงเรียนนี้ ผมก็ทำมันอย่างเต็มที่”
และด้วยพรสวรรค์การเป็นกองหลังในตัว ทั้ง สภาพร่างกายดี (สูง 178 เซนติเมตร) การอ่านเกมที่ดี การเข้าสกัดเด็ดขาด มีความนิ่ง และมีความเป็นผู้นำ ก็ทำให้ “น้องบ่าว” ถูกหมายมองจากเหล่าบรรดาโค้ชจากฟ็อกซ์ฮันท์ ตั้งแต่เล่นในรอบคัดเลือก โซนภาคใต้ แต่โจทย์ของเขาตอนนั้น คือ ต้องทำอะไรให้ทีมโรงเรียนจากภาคใต้ทีมนี้ ไปเล่นในรอบสุดท้ายระดับประเทศให้ได้ เพื่อให้เหล่าโค้ช และสเกาท์ได้เห็นฝีมืออีกครั้งในกรุงเทพฯ และสุดท้าย เขา กับ เพื่อนๆ ก็ทำได้สำเร็จ
การเป็นตัวแทนจากภาคใต้ (ร่วมกับ โรงเรียนเทพมิตรศึกษา จ.สุราษฎร์ธานี) คือ ใบเบิกทางที่ดีที่สุดในการได้ทำให้คนอื่นรับรู้ว่า พวกเขาเหล่าเด็กบ้านๆ จากสงขลา ก็มีดีเหมือนกัน
แม้เด็กบ้านๆ โรงเรียน อบจ.สงขลา พิทยานุสรณ์ จะไปไม่ถึงฝัน ตกรอบแรกจากผลการแพ้ โรงเรียนเทพศิรินทร์ กับ โรงเรียนเทศบาล 2 มุขมนตรี จ.อุดรธานี แต่ชัยชนะ 1 นัดในรอบแรกเหนือทีมอะคาเดมี่ “กิเลนผยอง” อย่าง โรงเรียนโพธินิมิตวิทยาคม จ.นนทบุรี ด้วยสกอร์ 2-0 ทำให้พวกเขาถูกจับตามองเป็นอย่างมาก
“ตอน คิง เพาเวอร์ คัพ ผมคิดว่า เราได้ทำตามเป้าหมายแล้ว คือ การผ่านเข้าสู่รอบชิงแชมป์ประเทศ เรารู้ตัวว่า เราเป็นทีมเล็กๆ ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้ต้องเจอศึกหนักรอบแบ่งกลุ่ม แต่ละทีมหินๆ ทั้งนั้น พอตกรอบ กลับบ้านมา ก็ไม่คิดหรอกครับว่า จะติด 1 ใน 33 คน ด้วยซ้ำ แค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว แล้วตอนที่มีการประกาศตัว 10 คนสุดท้าย ตอนนั้นผมตากผ้าอยู่ที่หอในโรงเรียน แล้วแอบได้ยินคุณครูคุยกัน ห้องติดกับที่เราตากผ้าเลย ครูคนนึงเรียกครูอีกคนให้มาดูชื่อว่า บ่าว (ชื่อเล่น) ติดฟ็อกซ์ฮันท์ 10 คนสุดท้ายนะ ตอนนั้นผมดีใจมาก เลยวิ่งเข้าไปดู ครูก็ไม่รู้ว่าเราตากผ้า และแอบฟัง ครูก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็ดีใจไปกับผมสุดๆ เลยครับ”
“ผมรีบโทรบอกคุณพ่อเลย แต่พ่อเขาก็รู้แล้วเหมือนกัน เค้าก็ติดตามจากหน้าเพจเฟสบุ๊คของ คิง เพาเวอร์ คัพ ผมรู้ว่า พ่อเค้าก็ดีใจ ผมรู้ว่าเค้าดีใจมาก เค้าก็บอกเราในเรื่องของศาสนา ให้เชื่อในพระเจ้า (พระอัลเลาะห์)”
“ผมไม่เคยไปเมืองนอกเลยครับ อังกฤษนี่ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะได้ไป อยากไปสักครั้ง อยากรู้ว่า ความรู้สึกของการได้ไปต่างประเทศมันเป็นอย่างไร”
“ผมรู้ว่าผมต้องปรับตัวเยอะ โดยเฉพาะเรื่องภาษา เพราะผมยังอ่อนด้านนี้อยู่ ก็ได้หาซื้อหนังสือมาอ่าน มาหัดพูดบ้างแล้วครับ อีกอย่างผมเป็นมุสลิมคนเดียวด้วย น่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวเยอะกว่าคนอื่น ต้องหาเวลาละหมาด เรื่องการกินด้วย ที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ แม้จะยาก แต่ผมก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ จะพยายามเรียนรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ให้มากที่สุด”
บางครั้ง โอกาสก็ไม่ได้บอกเราก่อน หรือมาเคาะประตูบ้านเตือนว่า จะเข้ามาหาตอนไหน
ฉะนั้น เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ ประหนึ่งว่า โอกาสมันจะวิ่งเข้าใส่เราตลอดเวลา
ฟารีด ชูรุ่ง เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชน ที่กำลังได้โอกาสทำตามความฝันของตนเอง
ฝันของเขายังไม่จบลงแค่นี้
เขายังเหลือภารกิจชีวิตให้ก้าวไปให้ถึงอีกพอสมควร
เขาอยากเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ
เขาอยากเล่นฟุตบอลลีกอาชีพที่ต่างประเทศ
เขาอยากติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่
ไม่รู้ว่าสุดท้าย ทุกความอยากเขา ฟารีด ชูรุ่ง จะจบลงด้วยความสำเร็จหรือไม่
แต่ที่เรารู้ตอนนี้ คือ
“ชีวิตลูกหนังมันกำลังจะเริ่มต้นนับหนึ่งแล้วนะ น้องบ่าว”
ที่มา Fox Hunt Channel
Tags: