จับโกหก “แถลงนโยบายประจำปี” โดนัล ทรัมป์
ผู้สื่อข่าวของเดอะนิวยอร์กไทม์สได้ร่วมกันตรวจสอบข้อมูลที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยกมาในแถลงนโยบายประจำปี 2018 ว่าตรงกับความเป็นจริงหรือไม่
ปฏิรูปภาษี
นายทรัมป์ระบุว่า รัฐบาลตัดลดภาษีและปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะการตัดลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดมีขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ส่วนการตัดลดภาษีครั้งล่าสุดของนายทรัมป์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 12
เศรษฐกิจ
นายทรัมป์กล่าวว่า นับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลก็สามารถสร้างงานได้กว่า 2,400,000 ตำแหน่ง ในจำนวนนี้ อยู่ในภาคอุตสาหกรรมถึง 200,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ อัตราว่างงานของชาวแอฟริกันอเมริกันก็น้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่เศรษฐกิจช่วง 1 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างงานได้ 169,000 ตำแหน่งต่อเดือน น้อยกว่าช่วง 7 ปีที่ผ่านมาที่สร้างงานได้ 185,000 ตำแหน่งต่อเดือน และอัตราว่างงานของคนดำที่ลดลงมาที่ร้อยละ 6.8 ก็เป็นเทรนด์ระยะยาวอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกันแล้ว อัตราว่างงานของคนขาวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 เท่านั้น
นายทรัมป์ยังระบุว่า บริษัทแอปเปิลประกาศจะลงทุนในสหรัฐฯ 350,000 ล้านดอลลาร์ และจ้างงานชาวอเมริกันอีก 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ถูกต้อง แต่ในความเป็นจริง อย่างน้อย 275,000 ล้านดอลลาร์ของจำนวนที่แอปเปิลบอกว่าจะลงทุน เป็นเพียงการสานต่อโครงการเดิม มีการลงทุนในโครงการใหม่จริงๆ ประมาณ 37 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่นายทรัมป์กล่าวว่า บริษัทรถยนต์กำลังสร้างและขยายโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ เป็นเรื่องที่นายทรัมป์กล่าวเกินจริง เพราะโตโยต้าก็เพิ่งเปิดโรงงานในมิสซิสซิปปีเมื่อปี 2011 และการจ้างงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย อีกทั้งยังลดลงจากปีก่อนด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ไครสเลอร์จะย้ายฐานการผลิตรถกระบะเพื่อการพาณิชย์กลับมาที่มิชิแกนก็เป็นความจริง แต่โรงงานเดิมที่เม็กซิโกไม่ได้ปิด เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ขายทั่วโลก
การค้า
ในขณะที่นายทรัมป์มองว่า เขาเป็นผู้ยุติข้อตกลงการค้าที่ไม่เป็นธรรมได้ นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า การที่ตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมลดลงเป็นผลมาจากโลกาภิวัฒน์และการใช้ เครื่องจักรมากกว่าการเกิดจากข้อตกลงใดข้อตกลงหนึ่ง และนักวิจัยระบุว่า ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือนาฟตากระทบกับการจ้างงานในสหรัฐฯ น้อยมาก
ประกันสุขภาพ
ส่วนการยกเลิกบทลงโทษทางภาษีกับคนที่ไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพตามโครงการโอบามา แคร์ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบก็คือคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปี ที่ไม่สามารถซื้อประกันได้ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีการประเมินว่า มีคนที่จ่ายค่าปรับประมาณร้อยละ 4.5 ของผู้จ่ายภาษีทั้งหมด โดยร้อยละ 60 ของคนเหล่านี้มีรายได้ไม่ถึง 50,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่ผู้มีรายได้ต่ำมักจ่ายค่าปรับต่ำกว่านั้น เพราะมักได้รับการงดเว้นบทลงโทษ
ผู้อพยพ
สำหรับเรื่องนี้ นายทรัมป์ระบุว่า การสร้างกำแพงกั้นชายแดนทางตอนใต้ของประเทศจะทำให้สหรัฐฯ ปลอดภัยขึ้น เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส ระบุว่า ผลกระทบจากกำแพงนี้ยังไม่ชัดเจน แม้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ระบุว่า กำแพงจะช่วยให้ผู้อพยพและแก๊งค้ายาเข้าประเทศได้ช้าลง ทำให้ตำรวจชายแดนจับกุมคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายได้มากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งผู้อพยพและแก๊งค้ายาได้อย่างเต็มที่ และโครงการสร้างกำแพงนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นบริเวณที่มีกำแพงหรือรั้วอยู่แล้ว มีเพียงร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมดที่ไม่มีรั้ว
นายทรัมป์ยังระบุว่า โครงการลอตเตอรีแจกวีซ่าถาวรให้ผู้อพยพเป็นการสุ่มให้วีซ่าโดยที่ไม่สนใจว่า จะมีทักษะหรือไม่ และเป็นภัยต่อชาวอเมริกันหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ เนื่องจากโครงการนี้ให้วีซ่าแก่ผู้อพยพที่มาจากประเทศที่มีอัตราการอพยพไป สหรัฐฯ ต่ำ และผู้สมัครโครงการนี้จะต้องจบมัธยมปลายหรือมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 2 ปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต้องตรวจร่างกายและประวัติอาชญากรรม เมื่อลอตเตอรี่สุ่มคนได้แล้วจะต้องตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งกินเวลาหลายเดือนด้วย นอกจากนี้ คนที่ได้กรีนการ์ดแล้วก็ไม่สามารถพาญาติเข้าประเทศได้เลยอย่างที่นายทรัม ป์เข้าใจ แต่จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน
ก่อการร้าย
ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ได้กล่าวว่า รัฐบาลสามารถทำให้กองทัพพันธมิตรขับไล่กลุ่มไอเอสออกจากอิรักและซีเรียได้ แต่นี่ถือเป็นการอ้างผลงานจากยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลของนายโอบามาริเริ่มเอาไว้ โดยช่วงที่นายทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี กองทัพพันธมิตรก็สามารถยึดคืนพื้นที่ยึดครองของกลุ่มไอเอสมาได้มากกว่า 13,000 ตารางกิโลเมตรแล้ว
ด้านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 6 ข้อจากการแถลงนโยบายประจำปี 2018 ของนายทรัมป์ ได้แก่
1. นายทรัมป์พูดถึงแต่นโยบายภายในประเทศ แสดงให้เห็นว่าแคมเปญ America First ไม่ใช่เพียงสโลแกนหาเสียงเท่านั้น แต่เขาตั้งใจทำให้นโยบายนี้เป็นจริง
2. การร่วมมือกันระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะแม้นายทรัมป์จะย้ำให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งและร่วมมือกันทำให้ประเทศ เดินหน้าต่อไป แต่แนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยดูจะไม่เห็นด้วยนัก เพราะเธอไม่ได้ลุกขึ้นตบมือให้นายทรัมป์เหมือนคนอื่นๆ
3. การแถลงครั้งนี้ร้อยละ 80 เป็นการพูดถึงความสำเร็จที่รัฐบาลนายทรัมป์ทำไปแล้ว ส่วนอีกร้อยละ 20 เป็นสิ่งที่นายทรัมป์ต้องการทำในอนาคต จนซีเอ็นเอ็นเปรียบว่า เหมือนเป็นการออกอัลบั้มรวมฮิตมากกว่าพูดถึงแนวนโยบายในอนาคต
4. นายทรัมป์เป็นผู้ลบล้างสิ่งที่นายโอบามาทำ โดยปีแรกของการทำงานเป็นเหมือนการต่อต้านนโยบายทุกอย่างที่นายโอบามาเคยทำมา ทั้งเรื่องโอบามาแคร์ โครงการผู้อพยพวัยเยาว์ ไปจนถึงการเปิดคุกกวนตานาโมต่อไป
5. การแถลงครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงรัสเซียและปัญหาแทรกแซงการเลือกตั้งเลยแม้แต่น้อย
6. ภาพรวมการแถลงนโยบายประจำปีครั้งแรกของนายทรัมป์ทำออกมาได้น่าประทับใจ ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนมาตลอด และเป็นคนที่ขายภาพลักษณ์และแบรนด์มาตลอดชีวิต
ที่มา: VoiceTV
Tags: