ถ้าพูดถึงการบำรุงผิวพรรณบนใบหน้าแล้ว หลายคนคงนึกถึงการใช้ครีมบำรุงผิวหน้า ที่มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ และหลายราคาแล้วแต่คุณภาพของครีมบำรุงผิวหน้าชนิดนั้น ๆ แต่บางคนก็ไม่สามารถใช้ได้ เพราะอาจเกิดอาการแพ้ และอาจจะสู้ราคาไม่ไหว เราจึงขอแนะนำสิ่งที่มีอยู่ในบ้านอยู่แล้วมาใช้ในการดูแลหรือบำรุงผิวแทน อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่ก็สามารถใช้ได้จริงๆ

1. ปลอกหมอนที่ทำจากผ้าไหม

บางคนอาจจะใช้ปลอกหมอนลายการ์ตูนน่ารักสดใสมาเป็นเวลานาน แต่รู้หรือไม่ว่า หากเปลี่ยนมาใช้ปลอกหมอนที่ทำจากผ้าไหมแท้ๆ แล้ว จะส่งผลให้ใบหน้ามีความเนียนใสมากยิ่งขึ้น เพราะปลอกหมอนผ้าไหม เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่ไม่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้แต่อย่างใด และยังช่วยป้องกันไรฝุ่นที่มาเกาตามหมอนได้ดีอีกด้วย

2. น้ำมันมะพร้าว

สำหรับสูตรนี้คงรู้กันดีอยู่แล้ว เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารสกัดจากธรรมชาติที่จะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น เพียงแค่นำน้ำมันมะพร้าวมาผสมกับน้ำตาลทรายแดงแล้วสครับผิวหน้าเป็นประจำ ก็จะช่วยให้ผิวสวยใสได้ไม่แพ้การใช้ครีมบำรุงผิวหน้ายี่ห้อแพงๆ เลย สามารถเอามาบำรุงผม และประกอบอาหารได้อีกด้วย

3. แป้งเด็ก

ลองเปลี่ยนมาใช้แป้งเด็กทาตัวและผิวหน้ากันดูบ้าง เพราะแป้งเด็กนั้นมีส่วนผสมที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว จึงช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นบนใบหน้าได้ และยังสามารถดูดซับความมันได้มากกว่าแป้งธรรมดาถึง 2 เท่า สาวคนไหนที่อยากมีขนตางอนเด้ง ลองใช้แป้งเด็กทาบริเวณขนตาดูแล้วตามด้วยมาสคาร่า รับรองว่างอนสวยถูกใจแน่นอน

4. เครื่องทำความชื้น

เครื่องนี้อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าไร และคงจะเป็นที่สงสัยว่ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องทำความชื้นเปรียบได้กับมอยส์เจอไรเซอร์ชั้นดี ที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าแบบไม่ต้องง้อครีมใดๆ เลย สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาเรื่องของผิวแห้งแตกเป็นขุย และไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ลองซื้อเครื่องนี้มาใช้กันดู

5. เครื่องกรองน้ำ

ปิดท้ายกันที่เครื่องกรองน้ำที่ไม่ได้มีไว้ให้ดื่มเพียงอย่างเดียว แต่ควรนำมากรองก่อนอาบน้ำด้วย เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับน้ำ เช่น คลอรีน และสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจจะส่งผลเสียทั้งต่อผิวกายและผิวหน้า โดยเฉพาะการเกิดผื่นคันที่อาจทิ้งรอยไม่น่าดูเอาไว้

ใครที่มีอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้อยู่ที่บ้านกันแล้ว ลองนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ด้วยวิธีการต่อไปนี้ดู เพียงไม่นานก็จะเห็นผลลัพธ์อันน่าทึ่งแล้ว

ที่มา: sanook