รวบ 2 ผู้ต้องสงสัยคาดรู้เห็น เหตุเผารถทัวร์ - ใบปลิวอ้างนักรบฟาตอนี
ตำรวจควบคุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยที่คาดว่ามีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์คนร้ายนับสิบคน ควงอาวุธสงครามบุกจี้รถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพฯ ก่อนจุดไฟเผารถ พร้อมตัดต้นไม้ขวางถนน และโปรยตะปูเรือใบสกัดการติดตามของเจ้าหน้าที่ เหตุเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค.60 ในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย 2 คนที่อาจมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์อุกอาจ บุกจี้และเผารถทัวร์จนวอดทั้งคัน โดยเป็นบุคคลที่อยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุ
คนแรกเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายน้ำมันบรรจุขวด ไม่ห่างจากจุดที่คนร้ายบุกจี้รถทัวร์มากนัก โดยมีพยานยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุ กลุ่มคนร้ายได้ไปรวมตัวอยู่ที่บ้านของผู้ต้องสงสัยรายนี้ ซึ่งเปิดเป็นร้านจำหน่ายน้ำมันบรรจุขวด ซึ่งเป็นน้ำมันเลี่ยงภาษี ทั้งยังใช้น้ำมันจากร้านค้าแห่งนี้เป็นเชื้อเพลิงในการเผารถทัวร์ด้วย
คนที่สอง เป็นผู้หญิง เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นผู้ที่นำเสื้อผ้าไปเปลี่ยนให้กับกลุ่มคนร้ายหลังก่อเหตุเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สะดวกต่อการหลบหนี โดยขณะนี้ทั้งสองคนอยู่ในกระบวนการซักถามของเจ้าหน้าที่กรมทหารพรานที่ 41
พบปลอกกระสุนปืนคนร้ายใช้ยิงรถทัวร์ก่อนเผา
นอกจากคุมตัวผู้ต้องสงสัย 2 รายแล้ว เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ยะลา ยังได้นำกำลังเข้าไปเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพบว่าบริเวณตัวรถมีร่องรอยกระสุนปืนจำนวนมาก และยังพบปลอกกระสุนปืนยาวเอชเค และปลอกกระสุนปืน .38 ซุปเปอร์ ตกอยู่ที่เนินดินริมถนนด้วย คาดว่าเป็นอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ยิงรถทัวร์ก่อนจุดไฟเผา
พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งลงพื้นที่เกิดเหตุ และเรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยว่า การก่อเหตุของกลุ่มคนร้าย ได้มีการวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ของการก่อเหตุ เมื่อเปรียบเทียบการก่อเหตุในครั้งก่อนๆ ที่มักทำร้ายพี่น้องประชาชน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ทำร้ายใคร จึงสามารถมองได้ในหลายๆ มิติ เช่น อาจเป็นการฝึกแนวร่วมรุ่นใหม่หรือเปล่า หรือเป็นการมุ่งทำลายเศรษฐกิจในพื้นที่ หรือเป็นการขัดผลประโยชน์กันของผู้ประกอบการรถโดยสาร ขณะนี้กำลังให้สืบสวนในเชิงลึก ตลอดจนความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบ
ส่วนประเด็นที่รถทัวร์คันนี้ และโชเฟอร์คนเดียวกันนี้ เคยประสบเหตุลอบวางระเบิดมาแล้วเมื่อปี 57 นั้น ก็เป็นประเด็นที่ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนหาข้อมูลความเชื่อมโยงเช่นกัน แม้เบื้องต้นจากการสอบปากคำโชเฟอร์รถทัวร์ จะยังไม่พบพิรุธหรือข้อสงสัยก็ตาม
ผบ.ตร.ลงพื้นที่-ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุระทึกขวัญครั้งใหญ่ที่ผู้ใหญ่ในรัฐบาลและผู้บังคับบัญชาในส่วนกลางให้ความสนใจ ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่ อ.บันนังสตา เพื่อประชุมกับนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง พร้อมลงไปดูจุดเกิดเหตุด้วยตนเอง
ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องกว่า 20 ปาก พบว่าให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทุกประเด็นที่อาจเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุยังไม่มีการตัดทิ้ง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ การสร้างสถานการณ์ความมั่นคง หรือการฝึกกำลังพลรุ่นใหม่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ใบปลิวว่อนอ้างนักรบฟาตอนีเรียกค่าคุ้มครอง
หลังเกิดเหตุ ได้มีการโปรยใบปลิว เป็นกระดาษสีขาว พิมพ์ข้อความด้วยตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์ อ้างชื่อ "นักรบฟาตอนี" ประกาศเรียกค่าคุ้มครองผู้ประกอบการที่เดินรถผ่านเส้นทางยะลา-เบตง หากใครไม่ให้ความร่วมมือ จะไม่รับรองความปลอดภัย เหมือนกับรถทัวร์ที่ถูกเผา
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ยังมีการแขวนป้ายผ้า เขียนข้อความเป็นภาษาไทย โจมตีรัฐบาล คสช. ซึ่งเป็นรัฐบาลทหาร ไร้ความเมตตาปราณี โดยป้ายผ้าดังกล่าวนี้พบถูกแขวนอยู่ที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.บันนังสตา แต่ยังไม่ชัดว่าเป็นป้ายผ้าที่ทำขึ้นใหม่และเพิ่งนำมาติด หรือเป็นป้ายผ้าโจมตีที่ทำไว้นานแล้ว
รัฐชี้ดิสเครดิตงานพัฒนา - ชาวบ้านชมโจร
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.มน.ภาค 4 สน.) นำโดย พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. เปิดแถลงข่าวหลังเกิดเหตุว่า การไม่ทำร้ายพนักงานประจำรถและผู้โดยสาร เนื่องจากคนร้ายมุ่งประสงค์ต่อการทำลายทรัพย์สินเป็นหลัก และยังคงพยายามสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อทำลายความเชื่อมั่น ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจตามโครงการ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ของรัฐบาลที่ได้รับกระแสตอบรับจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และอาจเกี่ยวโยงกับปัญหาภัยแทรกซ้อน หรือความขัดแย้งอื่นๆ ด้วย
ปัญหาภัยแทรกซ้อนที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน.ระบุถึง ก็คือ กลุ่มค้าน้ำมันเถื่อน ยาเสพติด และขนสินค้าเถื่อน ตลอดจนธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงในพื้นที่
อย่างไรก็ดี การจี้เผารถทัวร์ แต่ไม่ทำร้ายผู้โดยสาร ซึ่งถือเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ กลับทำให้ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้วิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่คำวิจารณ์เป็นไปในทางบวก ทำนองว่าเป็น "โจรมีคุณธรรม" และขอบคุณผู้ก่อเหตุที่ไม่ทำร้ายบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
ที่มา: isranews.org
Tags: