หลักปฏิบัติ เสาหลัก 5 ประการ ภารกิจสำคัญที่มุสลิมต้องปฏิบัติ เน้นย้ำในเรื่องใดบ้าง
หลักปฏิบัติ 5 ประการ การยืนยันความศรัทธาด้วยการปฏิบัติ
ความศรัทธาทั้ง 6 ประการที่กล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นหลักการสำคัญพื้นฐานของอิสลามที่มุสลิมจะต้องมีอยู่ประจำใจ แต่ความศรัทธาเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ เพราะในอิสลาม ความศรัทธาที่แท้จริงจะต้องแสดงผลของมันออกมาให้เห็นเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่มีความศรัทธาในหลักการ 6 ประการดังกล่าวยังคงยืนยันในความศรัทธานั้นอย่างมั่นคง อัลลอฮ. ก็ได้ทรงวางภารกิจสำคัญให้เขาต้องปฏิบัติ 5 ประการหรือที่เรียกกันว่าหลักการอิสลาม 5 ประการนั่นคือ
1. การกล่าวคำปฏิญาณตนว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ. มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮ.” (ซึ่งแปลว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ.และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ. “)
คำปฏิญาณ นี้เป็นถ้อยคำที่ผู้ยอมรับอิสลามทุกคนจะต้องกล่าวออกมา เป็นการยืนยันด้วยวาจาว่าตัวเองมีความศรัทธาดังที่กล่าวมาข้างต้นและพร้อม ที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่อัลลอฮ.ได้ทรงกำหนดไว้ในคัมภีร์กุรอานและคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด
ถึงแม้คำปฏิญาณดังกล่าวจะเป็นคำพูด เพียงประโยคสั้น ๆ แต่ถ้อยคำนี้แหละที่ทำให้สังคมอาหรับป่าเถื่อน ในสมัยท่านศาสดามุฮัมมัดต้องเปลี่ยนแปลงและส่งผลให้อิสลามได้กลายเป็นอู่ อารยธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก คำปฏิญาณดังกล่าวนี้หมายความว่ามุสลิมจะไม่ยอมเคารพกราบไหว้หรือสักการะบูชา พระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าพระเจ้านั้นจะเป็นวัตถุที่มนุษย์ทำขึ้นมาหรือคนที่อุปโลกน์ตัวเองหรือ ถูกอุปโลกน์เป็นพระเจ้า หรือแม้แต่สิ่งใดหรือใครก็ตามที่อ้างว่าตัวเองมีคุณสมบัติบางอย่างเหมือนอัล ลอฮ. แล้วเรียกร้องต้องการให้คนอื่นสักการะบูชาตนเอง ดังนั้นอิสลามจึงห้ามมุสลิมแสดงกิริยากราบแบบมือและหัวจรดพื้นแก่วัตถุหรือ บุคคลใด ๆ แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง เพราะกิริยาการกราบอันถือว่าเป็นกิริยาที่แสดงถึงความสูงสุดในการเคารพ สักการะนั้นจะถูกสงวนไว้ใช้กับ “อัลลอฮ.” ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่นั่นมิได้หมายความว่าอิสลามห้ามมิให้เคารพเชื่อฟังและทำความดีต่อพ่อแม่
การที่อิสลามห้ามกราบไหว้บูชาวัตถุ และบุคคลเช่นนั้น ก็เพราะอิสลามถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุดและมนุษย์ทุกคน มีฐานะแห่งความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันในสายตาของอัลลอฮ. เมื่อมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุดแล้ว หากมนุษย์ยังไปสักการะบูชาหรือกราบไหว้วัตถุธรรมชาติหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ มนุษย์ทำขึ้นมาหรือสักการะบูชามนุษย์ด้วยกันเอง นั่นก็หมายความว่ามนุษย์กำลังลดฐานะแห่งความเป็นมนุษย์ในสายตาของพระองค์ลง
เมื่ออิสลามห้ามสักการะหรือกราบ ไหว้พระเจ้าอื่นใดแล้ว อิสลามก็สั่งให้มุสลิมเคารพภักดีอัลลอฮ.แต่เพียงพระองค์เดียว ทั้งนี้เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลรวมทั้งตัวมนุษย์เองด้วย และพระองค์ไม่มีผู้ใดมาเป็นภาคีร่วมกับพระองค์
คำปฏิญาณตอนที่สองที่กล่าวว่า “มุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ.” นั้นหมายความว่าเมื่อใครยอมรับอัลลอฮ.ว่าเป็นพระเจ้าของเขาแล้วเขาจะต้องยอม รับว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลหรือผู้นำสารของอัลลอฮ. (กุรอาน-) มาประกาศยังมนุษยชาติและจะต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของศาสดามุฮัมมัดด้วย
เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัดประกาศคำ ปฏิญาณนี้ออกมา ความหมายของคำปฏิญาณนี้ได้ทำให้บรรดาพวกผู้นำชาวมักก๊ะฮ.เริ่มหวั่นวิตก ทันที เพราะคนเหล่านี้รู้ดีว่าท่านศาสดามุฮัมมัดกำลังประกาศให้คนรู้ว่าอัล ลอฮ.ต่างหากที่เป็นใหญ่และเป็นผู้ทรงอำนาจ มิใช่พวกหัวหน้าชาวมักก๊ะฮ. และถ้าใครยอมรับคำปฏิญาณนี้ก็หมายความว่าบุคคลนั้นจะต้องยอมรับความเป็นผู้ นำของศาสดามุฮัมมัด นอกจากนั้นแล้วมันยังหมายความว่าความเชื่อ ศาสนา ประเพณี วิถีการดำรงชีวิตแบบเก่าที่พวกเขาเคยปฏิบัติสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะต้อง ถูกทำลายลงด้วย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกหัวหน้าชาวมักก๊ะฮ.ถึงได้ต่อต้านท่านศาสดามุฮัม มัดตั้งแต่ท่านเริ่มประกาศอิสลาม
2. การนมาซหรือละหมาด (หรือในภาษาอาหรับเรียกว่า “เศาะลาฮ.”)
การนมาซคือการแสดงความเคารพสักการะ และการแสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮ.ซึ่งจะกระทำวันละ 5 เวลา คือ ตอนรุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวันคล้อย ตอนดวงอาทิตย์ตกดิน และในยามค่ำคืน โดยในการนมาซทุกครั้งมุสลิมทุกคนจะหันหน้าไปทางก๊ะอ.บ๊ะฮ.ซึ่งอยู่ในนครมัก ก๊ะฮ. และหน้าที่ในการนมาซนี้เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนตั้งแต่เริ่มมีความรู้สึก ทางเพศ (สำหรับผู้ชาย) และเริ่มมีประจำเดือน (สำหรับผู้หญิง) ซึ่งเป็นวัยที่อิสลามถือว่าเริ่มเข้าสู่วัยแห่งความเป็นผู้ใหญ่แล้ว
การนมาซเป็นสิ่งยืนยันความศรัทธาที่ปรากฎให้เห็นทางภายนอกได้ชัดเจนที่สุดเพราะเป็นการปฏิบัติที่มีรูปแบบ และคนที่จะดำรงรักษาการนมาซของตัวเองได้ครบ 5 เวลาต่อวันนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความผูกพันต่ออัลลอฮ.และรำลึกถึงพระคุณของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงแล้ว การปฏิบัติศาสนกิจที่อิสลามกำหนดให้มุสลิมปฏิบัติมิได้เป็นพิธีกรรมอันลึก ลับที่ยากต่อการปฏิบัติ หากแต่เป็นภารกิจที่ปฏิบัติอย่างเปิดเผย สะดวกและง่ายต่อผู้ปฏิบัติ การนมาซนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงความเคารพภักดีและเป็นการ แสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮ.แล้ว คัมภีร์กุรอานยังได้กล่าวอย่างไว้ชัดเจนอีกว่า “แท้จริงการนมาซจะยับยั้งจากความชั่วช้าและความลามก” ทั้งนี้เนื่องจากคนที่นมาซนั้นจะเป็นคนที่รำลึกถึงอัลลอฮ.และจะเชื่อว่าอัล ลอฮ.จะทรงเห็นการกระทำของเขาทั้งในที่ลับและในที่เปิดเผย ดังนั้น ความเกรงกลัวอันนี้จะช่วยยับยั้งเขามิให้ปฏิบัติความชั่ว
3. การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
การถือศีลอดในอิสลาม คือ การงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพสิ่งต่าง ๆ การมีความสัมพันธ์ทางเพศฉันสามีภรรยา ตลอดจนการอดกลั้นอารมณ์ใฝ่ต่ำทั้งหลายและการนินทาว่าร้ายผู้อื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก
การถือศีลอดเป็นหลักปฏิบัติอีก ประการหนึ่ง ซึ่งอิสลามกำหนดให้มุสลิมทุกคนที่ศรัทธาในอัลลอฮ.และมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งชายหญิงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเป็นเวลา 29 – 30 วัน ในเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนที่เก้าตามปฏิทินอิสลาม
การถือศีลอดมิได้เพิ่งจะเริ่มมีใน สมัยของศาสดามุฮัมมัด แต่มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยของท่านเสียอีก แม้แต่ศาสดามูซา (โมเสส) และศาสดาอีซา (เยซู) ก็เคยถือศีลอดด้วยเช่นกัน คัมภีร์กุรอานได้กล่าวยืนยันถึงเรื่องนี้พร้อมกับบอกวัตถุประสงค์ของการถือ ศีลอดให้เราทราบว่า :-
“บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้าเช่นเดียวกับที่เคยถูกกำหนดแก่บรรดาก่อนหน้าสูเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ยำเกรงพระเจ้า”
ที่การถือศีลอดมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกมุสลิมให้เกิดความยำเกรงพระเจ้าก็เพราะในเวลาปกติ อัลลอฮ.ทรงอนุมัติให้มุสลิมกินและดื่มได้อย่างเสรี แต่เมื่อถึงเดือนรอมฎอน เมื่ออัลลอฮ.ทรงมีบัญชาให้ละเว้นจากการกินดื่ม มุสลิมก็ละเว้นทันที นี่เป็นบทเรียนที่สอนมุสลิมให้ยำเกรงเละเชื่อฟังอัลลอฮ.
การถือศีลอดยังเป็นการฝึกให้ผู้ถือศีลอดซื่อสัตย์ต่อตัวเองและพระเจ้า กล่าวคือ ขณะที่ถือศีลอดเขาอาจจะแอบกินอาหารและดื่มน้ำในระหว่างการถือศีลอดก็ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเห็นและทรงรู้การกระทำของเขาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ดังนั้น เขาก็จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดต่อความสำนึกของตัวเอง นอกจากนั้นแล้ว การถือศีลอดยังเป็นการแสดงออกถึงความเสมอภาคกันในบรรดาผู้ศรัทธาด้วย เพราะในเดือนถือศีลอด มุสลิมผู้ศรัทธาไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดต่างต้องงดจากการกินดื่มเหมือนกันหมด
ความจริงแล้ว ในระหว่างการถือศีลอดนั้น การอดอาหารและน้ำเป็นเพียงมาตรการที่จะช่วยย้ำเตือนจิตสำนึกของผู้ถือศีลอดให้ระลึกถึงพระเจ้า และลดความต้องการทางอารมณ์ให้ต่ำลง ดังนั้น ถ้าผู้ใดถือศีลอดแล้วยังคล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำทำความชั่วอยู่ สิ่งที่เขาผู้นั้นจะได้รับจากการถือศีลอดก็คือความหิวกระหายธรรมดาตลอดทั้งวัน ซึ่งไม่มีผลต่อการฝึกฝนหรือการขัดเกลาทางด้านจิตวิญญาณของเขาแต่ประการใด
สำหรับคนชราที่ร่างกายอ่อนแอ ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าการถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย กรรมกรที่ทำงานหนักในเหมืองแร่ หญิงมีครรภ์แก่ก็ได้รับการยกเว้นเช่นกัน และมิต้องชดใช้ แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจะต้องบริจาคอาหารที่ตัวเองกินเป็นประจำหนึ่งมื้อให้ แก่ผู้ยากจนเป็นการทดแทนในแต่ละวันที่มิได้ถือศีลอด ในระหว่างการถือศีลอด มุสลิมสามารถกลืนน้ำลายได้ถ้าหากว่าน้ำลายนั้นสะอาดและไม่มีเศษอาหารติดอยู่
4. การจ่ายซะกาต
การจ่ายซะกาต คือ การจ่ายทรัพย์สินในอัตราที่ศาสนากำหนดไว้จำนวนหนึ่งจากทรัพย์สินที่สะสมไว้เมื่อครบกำหนดเวลา โดยจะต้องจ่ายทรัพย์สินนี้ให้แก่คนที่มีสิทธิ์ได้รับ 8 จำพวกตามที่คัมภีร์กุรอานได้กำหนดไว้อันได้แก่ 1) คนยากจน 2) คนที่อัตคัดขัดสน 3) คนที่มีหัวใจโน้มมาสู่อิสลาม 4) ผู้บริหารการจัดเก็บและจ่ายซะกาต 5) ไถ่ทาส 6) ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว 7) คนพลัดถิ่นหลงทาง 8) ใช้ในหนทางของอัลลอฮ.
ความจริงแล้วคำว่า ”ซะกาต” โดยทางภาษาแปลว่า “การซักฟอกการทำให้สะอาดบริสุทธิ์ และการเจริญเติบโต” และคำว่า “ซะกาต” นี้ได้ถูกกล่าวควบคู่กับการนมาซในคัมภีร์กุลอานไม่ต่ำกว่า 20 ครั้งด้วยเหตุนี้ มุสลิมที่ปฏิบัตินมาซแต่ไม่ยอมจ่ายซะกาตนั้น ความเป็นมุสลิมของเขาจึงยังไม่สมบูรณ์
วัตถุประสงค์ที่อิสลามกำหนดให้ มุสลิมจ่ายซะกาตก็คือเพื่อเป็นการยืนยันถึงความศรัทธา นอกจากนั้นแล้วการจ่ายซะกาตก็ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อซักฟอกทรัพย์สินและจิต ใจของผู้จ่ายให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการสร้างความเจริญให้แก่สังคมอีกด้วย
ที่กล่าวว่าซะกาตมีวัตถุประสงค์ เพื่อซักฟอกทรัพย์สินและจิตใจของผู้จ่ายซะกาต ก็เพราะอิสลามถือว่าทรัพย์สินที่มุสลิมหามาได้นั้นถึงแม้ว่าจะหามาด้วยความ สุจริตก็ตาม ถ้าหากทรัพย์สินที่สะสมไว้นั้นยังไม่ได้นำมาจ่ายซะกาต ทรัพย์สินนั้นก็ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะซะกาตเป็นสิทธิ์ของคน 8 ประเภทดังกล่าว การไม่จ่ายซะกาตก็คือการยักยอกทรัพย์สินของคนเหล่านั้น ขณะเดียวกัน การจ่ายซะกาตก็จะช่วยชำระจิตใจของผู้จ่ายให้หมดจดจากความตระหนี่ถี่เหนียว และความโลภซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสกปรกทางใจอย่าง หนึ่ง
หากเรามองหลักการจ่ายซะกาตจากแง่ สังคม เราจะเห็นว่าบรรดาผู้มีสิทธิได้รับซะกาตนั้นมักจะเป็นผู้ที่เป็นปัญหาใน สังคม ดังนั้นการนำซะกาตไปให้แก่คนเหล่านี้จึงเป็นการแก้ปัญหาสังคมที่ถูกจุด ขณะเดียวกัน ถ้าเรามองจากทางด้านเศรษฐกิจ เราจะเห็นว่าซะกาตจะทำให้คนยากจนคนอานาถาในสังคมมีอำนาจซึ้อเพิ่มขึ้น เพราะมีการถ่ายเททรัพย์สินจากคนรวยไปสู่คนจน และเมื่อคนเหล่านี้มีอำนาจซื้อก็จะส่งผลให้มีการผลิตสนองตอบความต้องการ ทำให้มีการจ้างงานและมีการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจติดตามมา
ดังนั้น จึงอาจพูดได้ว่าการจ่ายซะกาตนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาแล้ว ยังเป็นการแสดงความเคารพภักดีต่ออัลลอฮ. โดยผ่านทางการช่วยเหลือสังคมด้วย
ซะกาตมี 2 ประเภท คือ
ซะกาตฟิตเราะฮ. คือ ซะกาตที่มุสลิมที่สามารถจะเลี้ยงตัวได้ต้องจ่ายให้แก่คนยากจนหรือคนอนาถาในเดือนรอมฎอนอันเป็นเดือนถือศีลอด โดยจ่ายเป็นอาหารหลักที่คนในท้องถิ่นกินกันเป็นประจำซึ่งได้แก่ข้าวสารประมาณ 3 ลิตร (หรืออาจให้เป็นเงินที่มีมูลค่าเท่ากับข้าวสารจำนวนดังกล่าว) สำหรับผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นจะต้องรับผิดชอบการจ่ายซะกาตฟิตเราะฮ.นี้ แทนสมาชิกในครอบครัวด้วย หากยังไม่ได้จ่ายซะกาตฟิตเราะฮ. อัลลอฮ.ก็จะยังไม่รับการถือศีลอดของเขา
ซะกาตมาล หรือ ซะกาตทรัพย์สิน เป็นซะกาตที่จ่ายจากทรัพย์สินที่สะสมไว้หลังจากการใช้จ่ายครบรอบปีแล้ว ในอัตราที่ต่างกันตามประเภทของทรัพย์สินตั้งแต่ร้อยละ 2.5 ไปจนถึง 20
5. การทำฮัจญ์
การทำฮัจญ์ คือ การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ.ในเดือนซุลฮิจญะฮ.ตามวันเวลาและ สถานที่ที่ถูกกำหนดไว้ หลักการข้อนี้ถือเป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายหญิงทุกคนที่มีความสามารถใน ด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และเส้นทางการเดินทางมีความปลอดภัยหากใครได้ศึกษาถึงประวัติศาสตร์อิสลาม แล้ว จะพบว่าการทำฮัจญ์เป็นพิธีกรรมทางศาสนาเก่าแก่ที่มีมาก่อนสมัยของศาสดามุฮัม มัด จากหลักฐานในคัมภีร์กุรอาน การทำฮัจญ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่อัลลอฮ.ได้บัญชาให้ศาสดาอิบรอฮีมและอิสมา อิลผู้เป็นลูกชายร่วมกันสร้าง “บัยตุลลอฮ.” (บ้านของอัลลอฮ. ) ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการเคารพภักดีต่อพระองค์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงบัญชาให้ศาสดาอิบรอฮีมเรียกร้องเชิญชวนมนุษยชาติให้มาร่วมกัน แสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ที่บ้านดังกล่าว
ดังนั้น ในเดือนซุลฮิจญะฮ. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปฏิทินอิสลาม มุสลิมทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์จากทั่วโลกนับล้านคนจะเดินทางไปร่วมกันแสดงความ เคารพภักดีต่ออัลลอฮ.ที่บ้านของพระองค์
หลังจากสมัยของท่านศาสดาอิบรอฮีม แล้ว ด้วยความโง่เขลาและความหลงผิดของผู้คน รูปแบบของการทำฮัจญ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น แทนที่ผู้คนจะเคารพบูชาอัลลอฮ.แต่เพียงพระองค์เดียว พวกเขากลับเอารูปปั้นเทวรูปต่าง ๆ ที่พวกเขาบูชามาตั้งไว้รอบ ๆ ก๊ะอ.บ๊ะฮ. เพื่อสักการะบูชาในระหว่างการทำฮัจญ์ และในพิธีการเดินรอบก๊ะอ.บ๊ะฮ.นั้น พวกเขาหลายคนได้เปลือยกายเดินรอบก๊ะอ.บ๊ะฮ.และอื่น ๆ อีกมากมายที่ท่านศาสดาอิบรอฮีมไม่ได้ทำแบบอย่างไว้ จนกระทั่งมาถึงสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด หลังจากที่ท่านเข้ายึดมักก๊ะฮ.ได้แล้ว ท่านได้สั่งให้ทำลายรูปปั้นบูชาต่าง ๆ รอบก๊ะอ.บ๊ะฮ.ลงจนหมดสิ้น และท่านได้แสดงแบบอย่างการทำฮัจญ์ที่ถูกต้องให้บรรดาผู้ที่ศรัทธาในอัล ลอฮ.ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น การทำฮัจญ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นฮัจญ์ที่มีแบบอย่างมาจากท่านศาสดามุ ฮัมมัด
หากใครได้ศึกษาถึงรายละเอียดของ หลักการและการปฏิบัติฮัจญ์ เขาจะทราบได้ทันทีว่าฮัจญ์เป็นบทบัญญัติทางศาสนาที่ถูกกำหนดให้มุสลิมถือ ปฏิบัติเพื่อยืนยันถึงความศรัทธาในอัลลอฮ. ที่ต้องอาศัยความเสียสละทั้งทรัพย์สินและเวลา ความอดทนทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การให้อภัยและความสำนึกทางประวัติศาสตร์ตลอดจนความศรัทธามั่นต่อพระผู้เป็น เจ้าไปพร้อม ๆ กัน
การทำฮัจญ์ นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพภักดีและยืนยันในความศรัทธาต่ออัลลอฮ. แล้ว ยังสอนมนุษย์ทุกคนให้รู้สำนึกว่าในสายตาของอัลลอฮ. แล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะในการทำฮัจญ์ ผู้ทำฮัจญ์ทุกคนไม่ว่าจะมาจากชนชั้น เผ่าพันธุ์ ภาษา หรือจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าสีขาวเพียงสองชิ้นเหมือนกันหมดทุกคน จะต้องปฏิบัติพิธีการต่าง ๆ เหมือนกันหมดและทุกคนต่างก็ประกาศความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ.เหมือนกันหมด
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น อาจกล่าวสรุปได้ว่าหลักศรัทธา 6 ประการนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน ส่วนหลักปฏิบัติ 5 ประการที่อิสลามกำหนดไว้ให้มุสลิมปฏิบัตินั้นมิใช่เป็นหลักปฏิบัติทั้งหมดใน อิสลาม หากแต่มันเป็นเพียงวินัยบัญญัติอย่างน้อยที่สุดที่อิสลามกำหนดไว้ให้มุสลิม ปฏิบัติเพื่อยืนยันถึงความศรัทธาของเขาเท่านั้น อันที่จริงแล้วอิสลามยังมีบทบัญญัติอื่น ๆ ที่กำหนดให้มุสลิมปฏิบัติอีกมากมายที่จะเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในทุก ย่างก้าวของชีวิต
หลักอิสลาม
โดย อ.อิมรอน มะกูดี
หลักอิสลาม คือ รากฐานที่รับรองอัลอิสลาม ซึ่งมีอยู่ ห้า ประการ ระบุไว้ในรายงานของ อิบนุ อุมัร
ท่านนะบีมุฮัมมัด กล่าวความว่า "อิสลามนั้น ถูกก่อตั้งไว้บนหลักฐาน ห้า ประการ ปฏิญาณว่าไม่มีผู้ใดได้รับการสักการะ นอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัด เป็นบ่าวและศาสนฑูตของพระองค์ การดำรงการละหมาด การจ่ายซากาต การถือศีลอด ในเดือน รอมาฏอน และการทำฮัจญ์"
และ มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า การทำฮัจญ์ และการถือศีลอดในเดือนรอมาฏอน (สลักกันเรียงลำดับ) ท่านอิบนุ อุมัร กล่าวว่า ไม่ใช่ การถือศีลอด และการทำฮัจญ์ ทำนองนี้แหละ ฉันได้ยินท่านเราะซูล " (บันทึกโดย บุคอรีย์ และมุสลิม)
1. ส่วนการปฏิญาณว่า ไม่มีผู้ที่สมควรเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น มุฮัมมัด เป็นบ่าวและศาสนฑูตของพระองค์ หมายถึงการศรัทธาอย่างแน่วแน่ โดยการกล่าวออกมาด้วยลิ้น อันเป็นการยืนยันให้เป็นรูปธรรมขึ้น การยืนยันนี้ นับเป็นหลักการที่มีสาระหลากหลายประการ ทั้งนี้เพราะว่า ท่านนะบี เป็นผู้ประกาศศาสนาของอัลลอฮ์ การยืนยันความเป็นบ่าว และการแจ้งข่าวสารของท่านนะบี เป็นส่วนสมบูรณ์ของ "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุรเราะซูลลุลลอฮ์" เพราะคำยืนยันทั้งสองประการนี้เป็นพื้นฐานความถูกต้อง และการงานใดหากปราศจากความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ และไม่ปฏิบัติตามท่านเราะซูล การงานนั้นถือวาเป็นโมฆะ การบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ คือการยืนยันชะฮาดะ วรรคแรก ให้เป็นจริงขึ้น และการปฏิบัติตามเราะซูล คือการยืนยันให้ชะฮาดะฮ์ วรรคสุดท้ายเป็นจริงขึ้นมา
ผลของชะฮาดะฮ์ อันยิ่งใหญ่นี้ คือ ปลอดปล่อยจิตใจให้พ้นความเป็นทาส ของสิ่งถูกสร้างทั้งปวง และปลอดปล่อยรูปแบบให้เป็นไปตามรูปแบบของศาสนฑูต มุฮัมมัด ทั้งสิ้น
2. ส่วนการดำรงละหมาด คือ การเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์ อย่างถูกรูปแบบที่สมบูรณ์ ทั้งเวลา ลักษณะท่าทาง
ผลของการอิบาดะฮ์อันยิ่งใหญ่นี้ คือ ความสุขใจ ความอิ่มเอิบ และทำให้ห่างจากความเลวทราม ความชั่วช้านานาประการ
3. ส่วนการจ่ายซากาต คือ การเคารพสักการะต่อ อัลลอฮ์ ด้วยการจ่ายทรัพย์สิน ในจำนวนที่กำหนดไว้ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ
ผลของการบริจาคทรัพย์ คือ การชำระจิตใจให้สะอาด ไม่ตระหนี่ อีกทั้งยังช่วยเหลือมุสลิมโดยส่วนรวมอีกด้วย
4. ส่วนการถือศีลอด คือ การเคารพสักการะต่อ อัลลอฮ์ ด้วยการงดสิ่งที่ทำให้เสียศีลอด ช่วงกลางวัน ตลอดเดือนรอมาฏอน
ผลของการถือศีลอด คือ การฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง จนสามารถงดสิ่งที่รักที่ชอบได้ เพื่อความพอพระทัยจากอัลลอฮ์
5. การทำฮัจญ์ ณ อัลบัยต์ คือ การมุ่งสู่บัยตุลลอฮ์ เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์
ผลของการทำฮัจญ์ คือ ฝึกให้รักที่จะพลีกำลังกาย และกำลังทรัพย์ เพื่อการภักดีต่ออัลลอฮ์ เหตุนี้อัลฮัจญ์จึงถูกจัดว่า เป็นการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ทั้งหลายที่ได้กล่าวมา สำหรับมูลฐานเหล่านี้ และที่ไม่ได้กล่าวถึง ย่อมจะทำให้ประชาชาติมุสลิมที่สะอาดบริสุทธิ์ ยึดมั่นในศาสนาของอัลลอฮ์ ศาสนา แห่งสัจจะ เป็นประชาชาติที่ปฏิบัติต่อมนุษย์ ด้วยความยุติธรรม และความสัจจริง เพราะว่าบัญญัติอิสลามข้ออื่นๆนั้น จะดีได้ด้วยการยึดมั่นอย่างถูกต้อง ในหลักมูลฐานเหล่านั้น สภาพการของประชาชาติจะดีได้ ก็ด้วยความถูกต้องในเรื่องศาสนา หากกิจการของศาสนาไม่อยู่ในความมั่นคงถูกต้องแล้ว สภาพการณ์ของประชาชาติก็ย่อมจะไม่เป็นปกติสุข
"และ หากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธากัน และมีความยำเกรงแล้วไซร้ แน่นอน เราก็เปิดให้พวกเขาซึ่งบรรดาความจำเริญ จากฟากฟ้าและแผ่นดิน แต่ทว่าพวกเขาปฏิเสธ ดังนั้น เราจึงลงโทษพวกเขาด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ แล้วชาวเมืองนั้นจะปลอดภัยกระนั้นหรือ ในการที่ การลงโทษของเราะมายังพวกเขาในเวลากลางคืน ขณะที่พวกเขานอนหลับอยู่? หรือในเวลาสาย ขณะที่พวกเขากำลังเล่นสนุกสนานกันอยู่? แล้วพวกเขาจะปลอดภัยจากอุบายของอัลลอฮ์ กระนั้นหรือ? ไม่มีใครมั่นใจว่า จะปลอดภัย นอกจากกลุ่มชนผู้ขาดทุนเท่านั้น" (อัลอะรอฟ 95-99)
และจงพิจารณาดูประวัติศาสตร์ของชนรุ่นก่อนๆ เพราะในประวัติศาสตร์นั้น มีข้อคิดพิจารณา แก่ผู้ใช้สติปัญญา และแก่ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดมาบดบังหัวใจของเขา และอัลลอฮ์ พระองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเขาขอความช่วยเหลือ..
Tags: