
ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการอดอาหาร
ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการอดอาหาร
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้านสรีรวิทยา ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า การถือศีลอดในอิสลามนั้น เป็นเรื่องง่าย ในระหว่างที่อดอาหาร ร่างกายจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ในทางตรงกันข้าม ร่างกายกลับได้รับประโยชน์มากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในภาวะปกติ เว้นแต่จะมีการอดอาหาร การอดอาหารของมุสลิมนั้น สะดวกง่ายดายมากสำหรับร่างกาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา กล่าวความว่า “... อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า ...” (อัล กุรอาน 2:185) ตามที่ อัรรอซีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า "ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ทรงกำหนดให้การถือศีลอดเป็นไปในลักษณะที่ สะดวก ง่ายดาย และกระทำเพียงไม่กี่วันในรอบปี นอกจากนี้ พระองค์ไม่ไดักำหนดการอดอาหารในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เป็นที่บังคับ แก่ผู้ป่วยหรือผู้เดินทาง”
ความสะดวกง่ายดาย นี่เอง ที่ชัดเจนในความจริงที่ว่า ร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ในการถือศีลอด มนุษย์จะงดเว้นจากอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลาที่จำกัด โดยเริ่มจากช่วงเวลากลางวัน ตั้งแต่รุ่งสางไปจนถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และในช่วงเวลากลางคืนเขามีอิสระที่จะดื่มและรับประทานอาหารต่าง ๆ ดังนั้น การถือศีลอด คือ การเปลี่ยนแปลงเวลาที่เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้
อัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ได้ให้มีการสะสมพลังงานในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งพอเพียงแก่เขา ในกรณีที่มีการงดเว้นอาหารหนึ่งถึงสามเดือน ซึ่งในระหว่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้รับประทานอาหารเลย จากข้อมูลนี้ มีสถานพักฟื้นผู้ป่วยระดับประเทศ ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้วิธีที่เรียกว่า การอดอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งในระหว่างการรักษา ผู้อดอาหารเพื่อสุขภาพหรือผู้ป่วย จำเป็นต้องงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ยกเว้นเพียงน้ำสะอาด
การถือศีลอดของอิสลาม จะอยู่ระหว่าง 12 ถึง 16 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงระยะเวลาระหว่างถือศีลอดนี้ 5 ชั่วโมงจะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการดูดซึมหลังรับประทานอาหาร และช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่เหลืออีกประมาณ 12-14 ชั่วโมงหลังจาก การดูดซึมสารอาหาร การอดอาหารในช่วงเวลานี้ ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัยตามมาตรฐานการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงนี้ กลไกการดูดซึมทั้งหมดจะถูกกระตุ้น และการเผาผลาญอาหารจะสมดุล ก่อให้เกิดกลไกที่ทำให้ไกลโคเจนสลาย ไขมันก็จะถูกออกซิไดซ์และสลายด้วยเช่นกัน จากนั้นโปรตีนก็จะสลาย เป็นเหตุให้กลูโคสต้องก่อรูปขึ้นใหม่ ไม่มีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลในแต่ละการทำงานตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ไขมันจะไม่ถูกออกซิไดซ์มากถึงระดับที่จะสร้างประจุแคทไอออนนิคที่เป็นอันตราย ภาวะไม่สมดุลของไนโตรเจนเป็นลบก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการเผาผลาญของโปรตีน ส่วนเซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือดแดง และระบบประสาทนั้นจะใช้กลูโคสเท่านั้นเป็นแหล่งพลังงาน
ดังนั้น การอดอาหารทางการแพทย์ หรือการถือศีลอดทางการแพทย์ จึงเป็นเรื่องที่ มากกว่าการเปิดใช้งานกลไกเหล่านั้น และบางครั้งก็อาจมากไป จนถึงขั้นตั้งใจให้เกิดภาวะที่ไม่สมดุล ในการทำงานของอวัยวะบางอย่างในร่างกาย นี่คือเหตุที่ นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ห้ามไม่ให้ทำการอดอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อให้ง่ายดายในการปฏิบัติและเพื่ออำนวยความสะดวกในการถือศีลอดแก่ประชาชาติของท่าน ด้วยประการนี้ เซลล์ของร่างกายจึงทำงานไปตามธรรมชาติแม้ว่ากำลังอดอาหารอยู่ และเซลล์ก็ได้รับสิ่งที่ต้องการทั้งหมด จากพลังงานสำรองขนาดใหญ่ในร่างกาย กระบวนการทางโภชนาการในร่างกายจึงไม่ได้หยุดทำงาน เพียงแต่กระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมเท่านั้น ที่ถูกพักในระหว่างการถือศีลอด
การถือศีลอดของอิสลาม ถือว่าเป็นรูปแบบการเผาผลาญอาหารที่พิเศษ เนื่องจากประกอบด้วยขั้นตอนทั้งสองด้านของการสร้างและการรื้อสร้าง หลังจากมื้อของอิฟฏอรฺ (มื้ออาหารละศีลอดในช่วงตะวันลับฟ้า) และมื้อของสะหูรฺ (มื้ออาหารก่อนรุ่งอรุณ) กระบวนการสร้างพลังงานที่สำคัญนั้นเริ่มต้นที่เซลล์ แหล่งพลังงานสำรองก็จะได้รับการสร้างใหม่เมื่ออาหารที่ได้จากการบริโภคถูกนำไปใช้ผลิตเป็นพลังงาน หลังจากการดูดซึมของอาหารในช่วงสะหูรฺ ระบบได้ดึงเอาพลังงานจากการสลายไกลโคเจนและไขมันซึ่งเป็นแหล่งสะสมพลังงานสำรองในร่างกายไปใช้ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานที่จำเป็นในระหว่างการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมตลอดวันที่อดอาหาร นี่คือเหตุผลที่ท่านนบีกำชับให้เรารับประทานอาหารสะหูรฺ เพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ใช้ในการสร้าง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่านนบีส่งเสริมให้เรายืดเวลาสะหูรฺให้ล่าช้าและให้รีบเร่งในการละศีลอดเมื่อได้เวลา เพื่อไม่ให้ระยะเวลาหลังจากกระบวนการดูดซึมล่วงเวลานานเกินไป ดังนั้น การถือศีลอดของมุสลิมจึงไม่ได้นำไปสู่ความยากลำบากหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม ในทางตรงกันข้าม การอดอาหารกลับช่วยเพิ่มความอึดในการออกกำลังกาย และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อ
จากการทดลอง ที่ได้ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในด้านนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุโดยการอ้างอิงถึงผลการทดลองว่า จำนวน 30% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 20% และอีก 40% ของผู้ทดลองอดอาหาร ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ดีขึ้น 7% และผลลัพท์อื่น ๆ ที่ได้จากผู้ทดลองอดอาหารกลุ่มนี้พบว่า อัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น 6% ผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนความดันโลหิตด้วยอัตราความเร็วของชีพจรดีขึ้น 12% ความถี่ของการหายใจลดลง 9% ความรู้สึกตึงปวดเมื่อยขาลดลง 11% เราจะเห็นได้ว่า การทดลองที่น่าอัศจรรย์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อที่ผิดพลาดของผู้คนจำนวนมากที่เข้าใจว่าการอดอาหารทำให้ร่างกายอ่อนแอและส่งผลเสียต่อการดำเนินกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ดังนั้นพวกเขาจึงมักพักผ่อนและรู้สึกเกียจคร้าน และพวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันที่อดอาหารไปกับการนอนหลับและการอยู่เฉย ๆ
แล้วใครล่ะ ที่เป็นคนบอกท่านนบีมุฮัมมัดถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ในการอดอาหาร? แล้วใครล่ะที่เป็นคนบอกท่านว่าในการอดอาหารนั้นมีการป้องกันทั้งโรคทางสุขภาพจิตและโรคทางสุขภาพกาย? ใครกันที่บอกท่านถึงข้อเท็จจริงว่าการอดอาหารช่วยลดความต้องการทางเพศและช่วยลดแรงกระตุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว? ใครกันที่บอกท่านว่าการถือศีลอดนั้นมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อผู้ที่มีความสามารถตามบทบัญญัติว่าถือศีลอดได้นอกจากผู้ป่วยและผู้ได้รับการผ่อนผัน? ใครบอกท่านหรือว่าการถือศีลอดเป็นเรื่องง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่ทำให้เกิดความยากลำบาก ทั้งที่ท่านถูกเลี้ยง และโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ การอดอาหารนั้นไม่เคยเป็นที่รู้จัก หรือได้รับการปฏิบัติมาก่อน?
ผู้ที่บอกให้ท่านทราบถึงเรื่องเหล่านี้ คือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา พระองค์ได้เปิดเผยให้ศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า “แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นทรงยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เจ้า ว่าพระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์ ...” (อัล กุรอาน 4:166)
ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ในยุคนี้เห็นว่าสิ่งที่ถูกนำโดย นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นความจริงที่ได้รับการเปิดเผยจากผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสไว้ความว่า “สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ” (อัล กุรอาน 34:6)
บทความที่น่าสนใจ
Tags: