อัลเลาะห์ผู้ทรงสร้างและหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของพระองค์
เพื่อให้เราสามารถกำหนดอัลเลาะห์ผู้สมควรได้รับการเคารพสักการะอย่างมั่นใจ เราต้องพิจารณาก่อนว่า
ใครเป็นผู้สร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ?
และสร้างเราในรูปลักษณ์ที่สร้างสรรค์ และปรานีตในทุกรายละเอียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ?
เพราะถ้าเรารู้ว่าใครเป็นผู้สรรค์สร้างจักรวาลนี้ในทุกส่วนย่อยของมัน เราจะเห็นพ้องต้องกันอย่างมีเหตุมีผลว่า พระองค์นั้นคู่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงผู้เดียว และไม่มีภาคี(ส่วนร่วมในการได้รับการสักการะ)ใดๆสำหรับพระองค์ แม้กระทั่งผู้ที่ยอมรับการมีอยู่ของพระผู้สร้างแต่พวกเขายังคงเคารพสักการะสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระองค์ไปพร้อมๆกับพระองค์
ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขากำลังกระทำสิ่งที่ผิดในแก่นแท้ของ(ความเชื่อ)ในทิศทางนี้ เมื่อที่จริงผู้สร้างที่สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่งเพียงองค์เดียวจะต้องเป็นผู้ถูกเคารพสักการะเพียงองค์เดียวเท่านั้น เฉกเช่นพระผู้สร้างที่สามารถสร้างสิ่งถูกสร้างเหล่านี้ทั้งหมด ต้องมีวิทยปัญญาและความรอบรู้ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เทียบเคียงพระองค์ในวิทยปัญญาและความรอบรู้นี้ได้สักคน เหตุนี้จึงไม่สามารถจินตนาการอย่างมีเหตุมีผลว่า พระองค์จะมีผู้เสมอเหมือน ที่จะต้องได้รับการสักการะเคียงคู่กับพระองค์
เช่นเดียวกัน พระผู้สร้าง ผู้ทรงปรานีต ผู้ที่สามารถสร้างอย่างสร้างสรรค์เช่นนี้ได้นั้น ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระองค์ไม่ใช่ผู้บกพร่อง แต่สามารถทำอะไรก็ได้ทุกเมื่อที่พระองค์ทรงประสงค์ และในแบบที่พระองค์ต้องการ เช่น การที่พระองค์ให้อภัยแก่มนุษย์ทุกคน โดยที่พระองค์ไม่มีความต้องการใดๆที่จะให้มีสิ่งใดถูกเคารพสักการะพร้อมกับพระองค์ และเช่น การที่พระองค์สร้างมนุษย์โดยที่ไม่ต้องมีพ่อหรือแม่ ดั่งที่พระองค์ได้สร้างต้นตระกูลของมนุษยชาติ อาดัม(ขอความสงบสุขจงมีแด่ท่าน)โดยที่ท่านไม่มีทั้งพ่อ และแม่
และเช่นกันพระผู้สร้างที่ยอดเยี่ยมนี้ต้องเป็นผู้ที่ไม่ต้องการสิ่งใด จากสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีอำนาจเพิ่มใดๆ เพราะการเคารพสักการะจากพวกเขา และอำนาจของพระองค์จะไม่ลดแต่อย่างใดเนื่องจากการฝ่าฝืนของพวกเขา เพราะพระองค์ทรงไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกเขา แต่พวกเขากลับต้องพึ่งพา ขอความเมตตาและการดูแลจากพระองค์อย่างถาวร
ผู้ใดที่อ้างว่ามีอัลเลาะห์อื่นที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากพระผู้สร้างผู้วิเศษนี้ หรือถูกสักการะไปพร้อมกับพระองค์ อันที่จริงเขาได้หลงผิดอย่างใหญ่หลวง หากได้ใคร่ครวญเรื่องนี้สักเล็กน้อย เขาย่อมค้นพบความบกพร่องที่ชัดแจ้งซึ่งเขาได้ให้สิ่งถูกสร้างอันหนึ่งจากสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของอัลเลาะห์ อยู่ในสถานะอัลเลาะห์ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งเพียงองค์เดียวเท่านั้น!
ดังนั้นดวงดาวและดาวเคราะห์บนท้องฟ้า และผู้คนจากชนชั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เผยพระวจนะหรือผู้มีคุณธรรมหรือคนอื่นๆ หรือพวกเขาเป็นสิ่งถูกสร้างชนิดอื่นของอัลเลาะห์ เช่น เทวดา ญิน หิน ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ล้วนตกอยู่ในกลุ่มของสิ่งถูกสร้าง และสติปัญญาบอกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อน และต้องการผู้สร้างเพื่อสร้างพวกเขาให้มีขึ้น แล้วพวกเราจะทำให้เท่าเทียมกันได้อย่างไร ระหว่างผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ผู้ทรงพลัง มีความสามารถทุกอย่าง กับสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอต้องการผู้สร้างให้มันมีขึ้นอยู่ในจักรวาลนี้? แล้วพระผู้สร้างจำเป็นต้องสร้างอัลเลาะห์อื่นเพื่อให้ผู้คนบูชาไปพร้อมกับพระองค์ด้วยหรือ ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความคิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้มีสามัญสำนึกที่ดี
หลักฐานการมีอยู่ของพระผู้สร้างผู้ทรงปรีชาญาณ มีมากมาย ได้แก่
1 - สัญชาตญาณโดยกำเนิด ของการที่จะต้องเคารพสักการะในจิตวิญญาณของมนุษย์
ซึ่งพบเห็นได้จากการศึกษาจิตวิทยาและสังคมวิทยาในปัจจุบันว่ามีแนวโน้มทางจิตวิทยาที่นำมนุษย์ไปสู่พระผู้สร้างที่เขาต้องเคารพสักการะ แม้ว่าจะประมาณว่าผู้คนเกิดบนเกาะที่ห่างไกลออกไป โดยไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามาบิดเบือนธรรมชาติของพวกเขา สัญชาตญาณของพวกเขาจะหันไปสู่การเคารพสักการะพระผู้สร้างโดยที่ไม่ต้องไปบังคับ หรือได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น
และในธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีความต้องการพึ่งพาไปยังผู้ทรงมีพลังที่เร้นลับและที่ร่ำรวย ซึ่งมนุษย์หวังผลประโยชน์
และขับไล่อันตรายด้วยกับพระองค์ นอบน้อมต่ออัลเลาะห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามยากลำบาก ดังนั้นคุณจึงพบว่ามนุษย์ทุกชาติตั่งแต่สมัยโบราณและในประเทศต่างๆ ต่างก็มีสถานที่เพื่อทำการเคารพสักการะ กระทั่งพวกเขาได้บูชาดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ ไฟและหิน หวังจากสิ่งเหล่านั้นให้ได้มาซึ่งประโยชน์และขับไล่สิ่งอันตราย และสิ่งนั้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงเพราะว่า
" โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ต้องการพึ่งพิงอัลเลาะห์ที่เติมเต็มความปรารถนาของเขา
และความต้องการของจิตวิญญาณของเขา "
นอกจากว่าสภาพแวดล้อมที่มนุษย์เติบโตขึ้น มีส่วนในการแทรกแซงเป้าหมายที่ถูกต้อง แทนที่จะนำไปหาอัลเลาะห์ที่แท้จริง แต่กลับนำไปหาอัลเลาะห์จอมปลอม ซึ่งสามารถรับรู้ว่ามันไม่ถูกต้องได้ด้วยสติปัญญา ก่อนที่ศาสนาจะมาบอกเสียอีก
2 - การสร้าง
เพราะสำหรับทุกสิ่งที่เกิดย่อมมีผู้ให้เกิด และหากเป็นไปตามความเห็นพ้องของปัญญาชน จักรวาลที่มีความอัศจรรย์นี้จะถูกยกเว้นจากกฎนี้ได้อย่างไร จักรวาลที่สร้างสรรค์โดยมีสิ่งปลีกย่อยอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการระเบิด(บิ๊กแบง) หรือจากการคัดเลือก หรือวิวัฒนาการ และหากถามผู้ที่ปฏิเสธเรื่องนี้ว่า :
- เป็นไปได้ไหมที่หนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ มันปรากฏขึ้นมาในมือของเขาเองโดยบังเอิญ ?
- หรือมีโอกาสที่คำเหล่านี้ทั้งหมดจะถูกจัดเรียงในลักษณะนี้โดยบังเอิญ ?
- หรือว่าตัวอักษรทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
- หรือการวิวัฒนาการจนกระทั่งมันได้ออกมาในรูปนี้ ที่มีความหมายเข้าใจได้ ?
ผู้มีสติปัญญาย่อมตอบว่า : ไม่ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และต้องมีผู้แต่งหนังสือเล่มนี้
ถ้าคำตอบนี้อยู่ในระดับของสิ่งเล็กๆ เมื่อเทียบกับจักรวาลนี้ ดังนั้นจะเป็นอย่างไรกับการสร้างชั้นฟ้า แผ่นดิน ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ทะเล และสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับเชื้อรา ไวรัส จุลินทรีย์ อะตอมและส่วนประกอบ เซลล์และชิ้นส่วน รหัสพันธุกรรม และ DNA และการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และดาวต่างๆเต็มฟากฟ้าที่เราเห็นทุกคืน และสิ่งถูกสร้างๆอื่นๆอีกมากมายในจักรวาล เป็นไปได้หรือที่มันจะเกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ ไม่มีผู้สร้างสิ่งเหล่านี้? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสติปัญญาของมนุษย์ที่ดีต่างปฏิเสธสิ่งนี้อย่างแน่นอน
3 - หนึ่งในหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่คือความปรานีต และความรัดกุมของทุกสิ่ง
ดังนั้น ทุกสิ่งที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีผู้ทำให้มันสมบูรณ์แบบ และเป็นไปไม่ได้ที่ความบังเอิญจะก่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของสิ่งๆหนึ่งเช่นการสร้างมนุษย์ แล้วอย่างไรเล่า กับของที่มีเป็นล้านๆสิ่ง ที่เราเห็นในจักรวาลนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่และความปรานีต และหากว่ามนุษย์จะรวมตัวกันโดยใช้ความสามารถทั้งหมดของพวกเขาเพื่อสร้างแมลงวันสักหนึ่งตัว พวกเขาไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ความบังเอิญจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? และจงอ่านคำท้าทายนี้จากพระผู้สร้างผู้ทรงยิ่งใหญ่เถิด
(يَا أَيُّهَا النَّاسُ ضُرِبَ مَثَلٌ فَاسْتَمِعُوا لَهُ إِنَّ الَّذِينَ تَدْعُونَ مِنْ دُونِ اللَّهِ لَنْ يَخْلُقُوا ذُبَابًا وَلَوِ اجْتَمَعُوا لَهُ وَإِنْ يَسْلُبْهُمُ الذُّبَابُ شَيْئًا لَا يَسْتَنْقِذُوهُ مِنْهُ ضَعُفَ الطَّالِبُ وَالْمَطْلُوبُ
โอ้มนุษย์เอ๋ย ! อุทาหรณ์หนึ่งถูกยกมากล่าวไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงฟังมันให้ดี แท้จริงบรรดาที่พวกเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮ์นั้น พวกมันไม่สามารถจะให้บังเกิดแม้แต่แมลงวันสักตัวหนึ่ง หากว่าพวกมันจะรวมหัวกันเพื่อการนั้นก็ตาม และถ้าแมลงวันพาสิ่งใดหนีไปจากพวกมัน พวกมันก็ไม่สามารถจะเอามันกลับคืนมาได้จากแมลงวันนั้น ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขอ ช่างอ่อนแอแท้ ๆ [อัลกุรอ่าน บทอัลฮัจญ์ โองการที่ 73]
จะเป็นเช่นไรหากมีบ้านไม้ที่ถูกสร้างไว้ตามรูปแบบศิลปะที่สวยงาม จะมีใครไหมที่คิดว่า ไม้ธรรมดานี้ถูกเลือกและพัฒนาโดยธรรมชาติจนกระทั่งมันกลายเป็นบ้านเองแบบนี้ ?
ฉันไม่คิดว่าคนที่มีความเป็นธรรมจะตอบว่าใช่ แล้วเราจะกล่าวได้อย่างไรว่าการสร้างมนุษย์ซึ่งอัลเลาะห์ได้สร้างให้กับมนุษย์ซึ่งหัวใจ, ปอด, หลอดเลือดแดง, เส้นเลือด, ระบบประสาท, จิตใจและกล้ามเนื้อ,ซึ่งวิชาการทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของร่างกายทั้งหมดของมนุษย์ได้ ? ในทำนองเดียวกัน การทำงานอย่างกลมเกลียวของอวัยวะต่างๆของร่างกายมนุษย์ในด้านแสดงปฏิกิริยา ความรู้สึกหิว ความกระหาย ความอิ่ม ความดับกระหาย และความต้องการพักผ่อนและนอนหลับ รวมไปถึงการใช้สติปัญญาในการคิด ความฉลาด การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความกลัว และอื่นๆ เช่นเดียวกันการกำเนิดของมนุษย์ที่ผ่านช่วงเวลาหลายขั้นตอนขณะอยู่ในครรภ์มารดาอย่างน่าอัศจรรย์ที่พระผู้สร้างผู้ทรงฤทธานุภาพได้กล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอ่านเมื่อ 1,400 กว่าปี ซึ่งพระองค์ได้กล่าวว่า
وَلَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ مِن سُلَالَةٍ مِّن طِينٍ *ثُمَّ جَعَلْنَاهُ نُطْفَةً فِي قَرَارٍ مَّكِينٍ* ثُمَّ خَلَقْنَا النُّطْفَةَ عَلَقَةً فَخَلَقْنَا الْعَلَقَةَ مُضْغَةً فَخَلَقْنَا الْمُضْغَةَ عِظَامًا فَكَسَوْنَا الْعِظَامَ لَحْمًا ثُمَّ أَنشَأْنَاهُ خَلْقًا آخَرَ فَتَبَارَكَ اللَّهُ أَحْسَنُ الْخَالِقِينَ
และขอสาบานว่า แน่นอนเรา(อัลลอฮ์)ได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน - แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง(คือมดลูก) - แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือดแล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อแล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮฺทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง [อัลกุรอ่าน บทอัลมุมินูน :12-14]
แล้ววิทยาศาสตร์ความรู้ที่ทันสมัยของใครที่ไหนบ้างที่สามารถกล่าวถึงรายละเอียดที่แม่นยำนี้เกี่ยวกับระยะการเจริญเติบโตของมนุษย์ในครรภ์มารดาเมื่อ 1,400 ปีก่อน? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่สอนมนุษย์เกี่ยวกับคำอธิบายนี้ ในเวลานั้นคือพระผู้สร้าง ผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณ ซึ่งพระองค์ได้ส่งผู้ประกาศสาสน์ของพระองค์ด้วยสัจธรรมเพื่อนำทางผู้คนไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง และพระองค์ได้สนับสนุนเขาด้วยสิ่งที่พิสูจน์ถึงความจริงของสถานะการเป็นผู้เผยพระวจนะของเขาผู้นี้
Tags: